มือใหม่หัดขับรถ อาจกังวลใจไม่น้อยกับบทบาทการขับรถออกไปผจญภัยบนท้องถนนทั้งที่ยังไม่คุ้นชินนัก ก่อนอื่นเลยคุณควรรู้ข้อมูลสำคัญอย่างเกียร์ขับรถไว้ด้วย เช่น เกียร์ออโต้มีตําแหน่งอะไรบ้าง ขับยังไง และเลือกใช้อย่างไร การรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเป็นมือใหม่ขับรถได้เป็นอย่างดี KTC รวบรวมคำตอบเบื้องต้นที่คนสงสัยมากที่สุดมาให้แล้ว นำไปใช้ได้จริง เป็นประโยชน์แน่นอน
เกียร์ออโต้ คืออะไร?
เกียร์ออโต้ หรือ เกียร์อัตโนมัติ คือ เกียร์รถยนต์ประเภทหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งของเกียร์ให้เหมาะสมตามความเร็วและน้ำหนักบรรทุกได้โดยไม่ต้องมีการสั่งการจากผู้ขับขี่ตลอดเวลา ระบบนี้จะช่วยให้การขับขี่ง่ายและสะดวกขึ้น ตอบโจทย์สำหรับการขับรถในเมืองที่มีการจราจรติดขัด
เกียร์ออโต้กับเกียร์ธรรมดาแตกต่างกันอย่างไร?
เกียร์ออโต้จะใช้ระบบอัตโนมัติในการเปลี่ยนระดับเกียร์โดยไม่ต้องใช้มือและเท้าเหยียบคลัตช์ไว้ขณะเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งการเปลี่ยนเกียร์จะขึ้นอยู่กับความเร็วและสภาพถนนเป็นหลัก จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนเกียร์เอง เน้นความสะดวกสบาย ขับง่าย ในขณะเดียวกัน เกียร์ธรรมดา หรือ ที่เราคุ้นกันในชื่อเกียร์กระปุกมักจะพบได้ในรถยนต์รุ่นเก่า ๆ การควบคุมจะต้องใช้ความชำนาญและมีขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่ารถยนต์แบบเกียร์ออโต้ ซึ่งผู้ขับขี่ต้องใช้เท้าเหยียบคลัตช์ไว้ในขณะที่เปลี่ยนเกียร์ และต้องเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมกับอัตราความเร่งของรถยนต์ที่เราขับด้วยตัวเอง
เกียร์ออโต้มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร?
ถึงจะเห็นความแตกต่างระหว่างเกียร์ออโต้และเกียร์ธรรมดาได้อย่างชัดเจน แต่ใช่ว่าเกียร์ออโต้จะไม่มีข้อเสียอะไรเลย ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นเกียร์ออโต้หรือเกียร์ธรรมดาก็ต้องขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน
ข้อดีของเกียร์ออโต้
- ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนเกียร์ตามความเร็ว
รถยนต์ระบบเกียร์ออโต้จะมีฟังก์ชันช่วยคำนวณอัตราเร่งของรอบความเร็ว ทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง เสมือนว่าเราเข้าเพียงเกียร์เดียวก็สามารถขับรถไปต่อได้เรื่อย ๆ
- ควบคุมการขับขี่ได้ง่าย
สำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่หัดขับแนะนำว่าเริ่มต้นขับรถเกียร์ออโต้ก็จะสะดวกและง่ายกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องการเปลี่ยนเกียร์หรือเลี้ยงคลัทช์ เพียงรู้ทักษะการเข้าเกียร์เดินหน้าและถอยหลังก็สามารถขับรถยนต์ได้แล้ว
- ไม่ต้องเลี้ยงคลัทช์
ตัดปัญหาเรื่องการเลี้ยงคลัทช์ออกไปได้เลยเมื่อคุณขับรถยนต์ระบบเกียร์ออโต้อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลว่าเครื่องยนต์จะดับเมื่อเปลี่ยนเกียร์ไม่ถูกจังหวะ
- มีแนวโน้มว่าประหยัดน้ำมันได้มากกว่า
การขับรถในเมืองที่ต้องเผชิญกับรถติดในทุกวัน เป็นไปได้ว่าหากเราใช้รถยนต์ระบบเกียร์ธรรมดาแล้วต้องเจอรถติดก็ต้องเลี้ยงคลัทช์บ่อย ๆ ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันนั่นเอง
- มีเทคโนโลยีใหม่ให้ทดลองใช้เยอะ
ในปัจจุบันรถยนต์ระบบเกียร์ออโต้ยังคงมีเทคโนโลยีใหม่อัปเดตอยู่เรื่อย ๆ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทดลองอะไรใหม่ ๆ หรือสนใจนวัตกรรมรถยนต์ แน่นอนว่าคุณก็จะไม่เสียโอกาสตรงนี้ไป
ข้อเสียของเกียร์ออโต้
- ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาค่อนข้างสูง
ด้วยความที่เกียร์ออโต้ไม่มีการปรับเกียร์เพื่อชะลอความเร็วแบบเกียร์ธรรมดาที่สามารถควบคุมได้ตัวตัวเอง ทำให้ต้องคอยเบรกบ่อย ๆ และผ้าเบรกที่ถูกใช้ไปอย่างหนักหน่วงจึงต้องมีการเข้าศูนย์อยู่บ่อย ๆ เพื่อเปลี่ยนผ้าเบรกนั่นเอง
- มีอายุการใช้งานสั้นกว่า
หากมีการใช้งานเกียร์อย่างหนักหน่วงมาก ๆ ก็มีโอกาสสูงที่เกียร์ออโต้จะมีโอกาสพังไวกว่าปกติ ถ้าจะให้ดีควรถนอมเครื่องและไม่เร่งเครื่องแรงเกินกว่าที่กำหนดไว้จะดีกว่า
เกียร์รถยนต์มีกี่ประเภท?
1. เกียร์ธรรมดา (Manual Transmission - MT)
เกียร์ธรรมดาหรือเกียร์แมนนวลเกียร์ที่ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตนเอง โดยใช้คลัตช์และคันเกียร์ ส่วนใหญ่มักถูกเลือกใช้ในรถแข่งหรือรถที่ต้องการสมรรถนะสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติและควบคุมรถยนต์ด้วยตัวเอง
2. เกียร์อัตโนมัติ (Automatic Transmission - AT)
เกียร์อัตโนมัติเป็นเกียร์ที่สามารถเปลี่ยนได้เอง โดยไม่ต้องให้ผู้ขับขี่ควบคุม สะดวก ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรติดขัดเป็นส่วนใหญ่ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขับรถสบาย ๆ ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์เอง
3. เกียร์กึ่งอัตโนมัติ (Semi-Automatic Transmission - SAT)
เกียร์กึ่งอัตโนมัติเป็นการรวมฟังก์ชันของเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติเข้าด้วยกัน ผู้ขับขี่สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานแบบเปลี่ยนเกียร์เองหรือให้ระบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขับขี่รถยนต์สองระบบทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ
4. เกียร์ CVT (Continuously Variable Transmission - CVT)
เกียร์อัตราทดแปรผันต่อเนื่องทำงานคล้ายเกียร์ธรรมดา สามารถเปลี่ยนแปลงอัตราทดได้ไม่จำกัด ทำให้การขับขี่มีความสมูทนุ่มนวล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการขับขี่แบบนุ่มนวลและประหยัดน้ำมัน
5. เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ (Dual-Clutch Transmission - DCT)
เกียร์ที่ใช้ระบบคลัตช์ 2 ชุด ในการเปลี่ยนเกียร์ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วกว่าระบบเกียร์อัตโนมัติทั่วไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนเกียร์เร็วสำหรับรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูง
เกียร์ออโต้ มีอะไรบ้าง สัญลักษณ์เป็นแบบใด?
เกียร์ออโต้โดยส่วนใหญ่แล้วแบ่งออกเป็น 4 แบบ คือ เกียร์อัตโนมัติ (Automatic Transmission - AT) / เกียร์กึ่งอัตโนมัติ (Semi-Automatic Transmission - SAT) / เกียร์ CVT (Continuously Variable Transmission - CVT) / เกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ (Dual-Clutch Transmission - DCT) ซึ่งโดยทั่วไปจะมีสัญลักษณ์มาตรฐานดังนี้
P : ย่อมาจากคำว่า Park ที่มีความหมายว่าจอด ใช้สำหรับการจอดบนทางเรียบ โดยไม่ต้องดึงเบรกมือขึ้น แต่หากจอดซ้อนคัน จำเป็นจะต้องเปลี่ยนไปที่เกียร์ N ที่เป็นเกียร์ว่างแทน
R : ย่อมาจากคำว่า Reverse ที่มีความหมายว่าถอยหลัง ใช้สำหรับการถอยหลังเข้าจอดตามช่องจอด หรือเดินรถถอยหลังเพื่อกลับรถ
N : ย่อมาจากคำว่า Neutral มีความหมายว่าเกียร์ว่าง ล้อจะไม่หมุนเมื่อเหยียบคันเร่ง ใช้สำหรับจอดติดไฟแดงหรือทางลาดชัน สามารถดึกเบรกมือขึ้นได้เมื่อจำเป็น
D : ย่อมาจากคำว่า Drive มีความหมายว่าขับเดินหน้า ซึ่งเป็นเกียร์หลักที่ใช้ในการเดินรถไปข้างหน้า ตามความแรงของคันเร่งที่เหยียบลงไป
D3 : ย่อมาจากคำว่า Drive เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำลงมาสำหรับทางที่ลาดชันไม่มาก เพื่อช่วยให้รถมีกำลังผ่านไปได้
D2 : ย่อมาจากคำว่า Drive เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ที่ต่ำลงมาอีกจาก D3 ใช้สำหรับเส้นทางที่เริ่มความลาดชันสูงขึ้น
L : ย่อมาจากคำว่า Low หรือจะเรียกว่าเกียร์ D1 ก็ได้เช่นกัน เหมาะสำหรับใช้ในทางลาดชันมาก และมีระยะทางต่อเนื่อง อย่างเช่นการขับขึ้นเขาระยะทางไกล
S : ย่อมาจากคำว่า Sportระบบเกียร์ S จะเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ช้าลง ทำให้เครื่องยนต์ใช้กำลังรอบมากกว่าปกติ มักใช้ในกรณีเร่งแซง
B : ย่อมาจากคำว่า Brake ใช้สำหรับการขับขึ้นเนินหรือลงเนินที่มีความชัน โดยจะลดความเร็วด้วยอัตราทดเกียร์แทนที่จะใช้การทำงานของเบรกเพียงอย่างเดียว ทำหน้าที่คล้ายกับเกียร์ L
M : ย่อมาจากคำว่า Manual ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เองเสมือนกำลังขับรถเกียร์ธรรมดา สามารถใช้งานได้โดยโยกคันเกียร์ขึ้นลงตามต้องการ เหมาะสำหรับการขับลงเขา ออกโค้ง เป็นต้น
วิธีเปลี่ยนเกียร์ออโต้ ขณะขับรถ
การเปลี่ยนเกียร์ออโต้ขณะขับขี่มีหลักสำคัญเพื่อช่วยให้การขับขี่ปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยถนอมเกียร์ให้ใช้งานได้นานขึ้น ทฤษฎีส่วนนี้อาจต้องใช้สกิลการจำนิดหน่อยแต่เป็นประโยชน์และได้ใช้จริงแน่นอน ไปดูกันว่าการเปลี่ยนเกียร์ออโต้มีตําแหน่งอะไรบ้าง
- เปลี่ยนจากเกียร์ D ไป S หรือ M (โหมดสปอร์ต / แมนนวล) : สามารถเปลี่ยนได้ทันทีขณะขับขี่ ใช้ในกรณีต้องการเพิ่มกำลังเครื่องยนต์ เช่น เร่งแซง หรือ ขึ้นทางชัน
- เปลี่ยนจากเกียร์ D ไป L (Low) หรือ B (Brake) : สามารถเปลี่ยนได้ขณะขับที่ความเร็วต่ำ ใช้เมื่อขับลงทางชันเพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยเบรก หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนเกียร์ L/B ขณะขับที่ความเร็วสูงเพราะอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
- เปลี่ยนจากเกียร์ D ไป R (ถอยหลัง) หรือ P (จอด) : ไม่ควรเปลี่ยนเป็นเกียร์ R หรือ P ขณะรถยังเคลื่อนที่อยู่ เพราะอาจทำให้เกียร์พังและเกิดอุบัติเหตุได้ แนะนำว่าให้เหยียบเบรกจนรถหยุดสนิทแล้วจึงเปลี่ยนเป็น R หรือ P
- เปลี่ยนจากเกียร์ D ไป N (Neutral) : ไม่แนะนำให้เปลี่ยนเกียร์เป็น N ขณะรถวิ่ง เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ เช่น ไม่สามารถควบคุมแรงฉุดจากเครื่องยนต์ได้ และให้ใช้เกียร์ N ในกรณีจอดรถชั่วคราว เช่น ติดไฟแดง เป็นต้น
ทฤษฎีเป๊ะเรื่องการขับรถเกียร์ออโต้แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือ การขับรถบนท้องถนนก็ต้องรักษากฎอย่างเคร่งครัดกันด้วย เพื่อความปลอดภัยของทุกคน และตัวคุณเองบนท้องถนน สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC แนะนำใช้จ่ายผ่านบัตร ออกรถใหม่ มีโปรโมชั่นมากมาย
โปรโมชั่นนี้คุ้มค่าสำหรับคนที่มีแพลนกำลังออกรถใหม่มี โปรโมชั่น ออกรถใหม่วันนี้ ที่โชว์รูมรถยนต์ที่ร่วมรายการ กับบัตรเครดิต KTC
- ชำระเงินจอง หรือเงินดาวน์สำหรับออกรถใหม่ ใช้คะแนนแลกรับเครดิตเงินคืน 13%
เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ KTC ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป / เซลส์สลิป + ใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน แลกรับเครดิตเงินคืน 130 บาท
- ระยะเวลาโปรโมชั่น: 1 พ.ย. 67 – 30 เม.ย. 68
สนใจสมัครบัตรเครดิต KTC สมัครออนไลน์ ได้ทุกวัน สมัครง่าย อาชีพไหนก็สมัครได้
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC