CVV คือ รหัสผ่านสำคัญสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิต บางครั้งอาจเรียกชื่อว่า CVC, CVC2 หรือ Card Verification Value บัตรทุกใบต้องมีรหัสดังกล่าวนี้กำกับอยู่ เนื่องจากเป็นรหัสที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เพื่อป้องกันภัยจากบุคคลที่ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพ
รหัส CVV
CVV ดูตรงไหน
โดยปกติแล้ว บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตของ Visa, Mastercard, JCB หรือ UnionPay จะมีรหัส CVV อยู่ด้านหลังบัตรใกล้กับแถบแม่เหล็กและช่องลายเซ็น แต่บริษัทบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตอาจมีการกำหนดตำแหน่ง CVV ที่แตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและเครือข่ายการชำระเงิน (Card Brands)
ข้อดีของรหัส CVV คืออะไร
ข้อดีของการมีรหัส CVV กำกับอยู่บนบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ได้แก่
1. เพิ่มความปลอดภัยเมื่อต้องทำธุรกรรมออนไลน์
การซื้อของออนไลน์ในยุคปัจจุบันเป็นเรื่องง่าย แต่อาจไม่ปลอดภัยหากขาดรหัส CVV เพราะรหัสนี้จะเป็นรหัสยืนยันเพื่อยืนยันการทำธุรกรรมผ่านบัตรฯ ในการชำระค่าสินค้าหรือบริการทางออนไลน์
การมีเลข CVV จะทำให้ระบบการชำระเงินทางออนไลน์ได้รับการตรวจสอบ และหากไม่มีการกรอกหมายเลขนี้หรือกรอกผิด จะทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในการเพิ่มความปลอดภัยเมื่อต้องทำธุรกรรมผ่านออนไลน์
2. ป้องกันความสูญเสียหรือการขโมย
รหัส CVV ช่วยป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นๆ ที่ไม่ใช่เจ้าของของบัตร นำเลขบนบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตไปใช้ซื้อสินค้า หรือใช้ในทางทุจริต โดยที่เจ้าของบัตรยังไม่ได้รับอนุญาต ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสีย หรือโดนขโมยข้อมูลบัตรไปใช้จ่ายด้วย ยิ่งถ้าบัตรใบไหนที่มีเลข CVV อยู่คนละด้านกับหมายเลขบัตรเครดิต จะยิ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นเพราะเป็นจุดที่มองเห็นได้ยาก
แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้ตัวว่าบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตหาย คนที่เก็บได้จะได้ทั้งข้อมูลบัตรและรหัส CVV ดังนั้น จึงควรรีบอายัดบัตรโดยทันที สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC หากบัตรถูกขโมยหรือสงสัยว่าทำหาย สามารถทำรายการอายัดบัตรฯ ชั่วคราวได้ด้วยตนเองผ่านแอป KTC Mobile หรือ KTC PHONE 02 123 5000
รหัส CVV
ทำไมต้องมีรหัส CVV
เหตุผลสำคัญที่จำเป็นต้องมีรหัส CVV หลังบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ก็เพราะเวลาที่เราเลือกจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ จะรูดบัตรเครดิตที่เครื่องรูดบัตรไม่ได้ ผู้ให้บริการจะมีระบบออนไลน์ให้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต รวมถึงข้อมูลอื่นๆ เช่น Expiry date ในการยืนยันความถูกต้อง และการเป็นเจ้าของบัตร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีรหัสดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นๆ แอบเอาข้อมูลบนบัตรเครดิตไปใช้ในทางทุจริตนั่นเอง
รหัส CVV ใส่ตอนไหน
เราต้องกรอกรหัส CVV ในขั้นตอนการชำระเงินทางออนไลน์ เมื่อต้องชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตออนไลน์ ระบบจะมีช่องให้ระบุประเภทของบัตร, หมายเลขบัตร, ชื่อผู้ถือบัตร และจะต้องมีการกรอกหมายเลข CVV เพื่อยืนยันความถูกต้องเข้าไปด้วย ทั้งนี้ รหัส CVV จะใช้ในกรณีที่มีการชำระเงินผ่านทางระบบออนไลน์เท่านั้น หากเป็นการชำระเงินผ่านเครื่องรูดบัตรก็ไม่จำเป็นต้องใช้รหัสนี้
ทำไมไม่ควรบอก CVV หรือเลขหลังบัตร
อีกเรื่องที่จำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับ CVV คือ การไม่เปิดเผยรหัสให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัตรรับรู้ ไม่ว่าคุณจะสนิทแค่ไหนก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ใครนำรหัส CVV ของคุณ ไปใช้จ่ายซื้อของทางออนไลน์ รวมไปถึงป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพนำข้อมูลสำคัญของเราไปใช้อีกด้วย
นอกจากจะไม่บอกว่า CVV คือเลขอะไรแล้ว ยังจำเป็นต้องตรวจสอบเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ ก่อนที่จะมีการกรอกข้อมูลส่วนตัวใดๆ ด้วยว่าเว็บไซต์นั้นปลอดภัยหรือเป็นเว็บไซต์ปลอมหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้จาก URL ซึ่งจะต้องขึ้นต้นด้วย HTTPS (Hypertext Transfer Protocol Secure) และแสดงไอคอนรูปกุญแจล็อกด้านหน้า เพราะหากเผลอกรอกข้อมูลบัตรเครดิตลงบนเว็บไซต์ปลอม ก็เหมือนการบอกเลขหลังบัตร (CVV) ไปแบบไม่รู้ตัว นอกจากจะไม่ได้ของที่ซื้อแล้ว ยังอาจสูญเสียมากกว่าเดิมด้วย
แม้ว่าบัตรเครดิตจะเป็นหนึ่งในทางเลือกในการชำระเงินที่ปลอดภัย, สะดวกรวดเร็ว และมีระบบการป้องกันที่ดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการใช้งาน หรือหากมีใครสักคนแอบมาส่องดูรหัส CVV ของคุณ ก็สามารถขโมยข้อมูลไปใช้ทำธุรกรรมทางออนไลน์ได้เช่นกัน KTC จึงได้มีการพัฒนาบัตรเครดิต Digital ที่เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานบัตรเครดิตให้มากขึ้น ด้วย Dynamic CVV รหัสหลังบัตร (CVV) ที่เปลี่ยนทุกครั้งที่กดขอผ่านแอป KTC Mobile และใช้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าลืมรหัสหรือรหัสหมดอายุสามารถขอใหม่ได้ตลอดผ่านแอป KTC Mobile ทำให้สมาชิกบัตรเครดิต KTC ที่เลือกใช้บัตรเครดิต KTC DIGITAL ใช้จ่ายได้ปลอดภัย และอุ่นใจกว่าเดิม