เบี้ยประกันสุขภาพคืออะไร คู่มือสำหรับมือใหม่ที่สนใจอยากซื้อประกัน

ค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น ทำให้การจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงาน ผู้สูงอายุ หรือแม้แต่เด็กเล็ก แต่การเลือกซื้อประกันที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการจ่ายเบี้ยประกันเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวที่เราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไหนจะยังมีประเด็นเรื่องเบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีก็ยังต้องรู้ เราจึงจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเบี้ยประกันว่ามีอะไรบ้างที่เราควรรู้

เลือกอ่านตามหัวข้อ

• เบี้ยประกันสุขภาพ คืออะไร
• ทำไมค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพของแต่ละคนไม่เท่ากัน
• วิธีการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ มีกี่แบบ
• หากชำระเบี้ยประกันไม่ไหว จะทำอย่างไร
• หากหยุดจ่ายเบี้ยประกันจะเป็นอย่างไร
• เบี้ยประกันสุขภาพ หมดห่วงเรื่องค่ารักษา สำหรับคนอยากวางแผนการเงิน

เบี้ยประกันสุขภาพ คืออะไร

เบี้ยประกันสุขภาพ คือ ค่าใช้จ่ายที่เราจ่ายให้กับบริษัทประกันภัย เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับความคุ้มครองด้านสุขภาพในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าห้องโรงพยาบาลเมื่อต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือการชดเชยรายได้เมื่อเราเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ แต่ก็สามารถนำเอาไปลดหย่อนภาษีได้

สำหรับใครที่สงสัยว่าเบี้ยประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ คำตอบคือสามารถเอาไปลดหย่อนได้ตามจ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท หากทำร่วมกับประกันชีวิตทั่วไปหรือเงินฝากแบบมีประกันชีวิต สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี และหากทำร่วมกับประกันชีวิตบำนาญ สามารถลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี

ทำไมค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพของแต่ละคนไม่เท่ากัน

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเบี้ยประกันสุขภาพของแต่ละคนถึงไม่เท่ากัน ทั้งที่ทำประกันประเภทเดียวกัน สิ่งนี้เกิดจากปัจจัยและเป้าหมายหลายอย่างที่บริษัทประกันนำมาพิจารณาในการคำนวณเบี้ยประกัน เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของแต่ละคน มาดูกันว่าปัจจัยเหล่านั้นมีอะไรบ้าง

• มูลค่าความคุ้มครองของแต่ละกรมธรรม์ ยิ่งกรมธรรม์มีวงเงินความคุ้มครองสูง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชยรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือความคุ้มครองโรคร้ายแรง เบี้ยประกันก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากบริษัทประกันต้องรับผิดชอบความเสี่ยงที่มากขึ้น โดยเฉพาะประกัน IPD ที่ค่าเบี้ยประกันจะสูงกว่า OPD เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อเข้ารับการรักษาสูงกว่านั่นเอง
• ประวัติด้านสุขภาพ ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือมีประวัติการเจ็บป่วยบ่อยครั้ง จะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่าผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเคลมประกันสูงกว่า บางคนอาจต้องตรวจสุขภาพก่อนทำประกัน ไม่เหมือนกับการยื่นประกันสังคมออนไลน์ที่ขั้นตอนง่ายกว่ามาก
• อายุของผู้ทำประกัน ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิตสูงกว่าวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ เบี้ยประกันสุขภาพ ผู้สูงอายุจึงมีราคาที่สูงกว่า
• อาชีพ ผู้ที่มีอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น พนักงานก่อสร้าง นักบิน หรือตำรวจ จะมีเบี้ยประกันที่สูงกว่าอาชีพทั่วไป เพราะมีโอกาสเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
• เพศ ข้อมูลของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพพบว่าผู้ชายมักจะมีอายุขัยเฉลี่ยต่ำกว่าผู้หญิง แต่ผู้หญิงกลับมีโอกาสเจ็บป่วยมากกว่าและสุขภาพแข็งแรงน้อยกว่าผู้ชาย ใช้เวลาในการพักฟื้นนานกว่า ค่าเบี้ยประกันของผู้หญิงจึงมีโอกาสสูงกว่านั่นเอง
• ส่วนลดจากบริษัทหรือตัวแทน บริษัทประกันหรือตัวแทนประกันบางแห่งอาจมีโปรโมชันหรือส่วนลดพิเศษให้กับลูกค้า เช่น ส่วนลดสำหรับผู้ที่ซื้อประกันหลายกรมธรรม์ หรือส่วนลดสำหรับลูกค้าเก่า ทำให้เบี้ยประกันถูกลง

วิธีการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ มีกี่แบบ

การเลือกซื้อประกันสุขภาพ จะเป็นประกัน OPD หรือ IPD สิ่งหนึ่งที่เราต้องพิจารณาคือ วิธีการชำระเบี้ยประกันสุขภาพ ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป การเลือกวิธีชำระที่เหมาะสมจะช่วยให้เราบริหารจัดการเรื่องการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

• ชำระเบี้ยรายเดือน เป็นวิธีการชำระเบี้ยที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้ผู้เอาประกันสามารถวางแผนการเงินได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถแบ่งจ่ายเป็นงวดเล็กๆ ได้ตลอดทั้งปี อย่างเช่นประกันสุขภาพ เดือนละ 300 เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอนหรือมีค่าแรงขั้นต่ำ ต้องการกระจายความเสี่ยงในการชำระเบี้ย
• ชำระเบี้ยราย 6 เดือน เป็นการแบ่งจ่ายเบี้ยประกันเป็น 2 งวดใน 1 ปี วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ประจำและต้องการลดจำนวนครั้งในการชำระเบี้ยลง
• ชำระเบี้ยรายปี เป็นการชำระเบี้ยประกันเพียงครั้งเดียวใน 1 ปี วิธีนี้มักจะมีส่วนลดเบี้ยประกันให้ แต่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการชำระ เหมาะสำหรับผู้ที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูงและต้องการวางแผนการเงินล่วงหน้า

หากชำระเบี้ยประกันไม่ไหว จะทำอย่างไร

ปัญหาเบี้ยประกันสุขภาพเป็นภาระทางการเงินเป็นเรื่องที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจไม่สู้ดีหรือมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น แม้แต่ประกันสุขภาพ เดือนละ 500 ก็อาจกลายเป็นปัญหาได้ การตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรเมื่อจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งทางออกของปัญหาดังกล่าวมีดังนี้

• ขอผ่อนผันการชำระเบี้ย ติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอผ่อนผันการชำระเบี้ยชั่วคราว อาจเป็นการชำระเบี้ยน้อยลง หรือเลื่อนการชำระออกไป โดยส่วนใหญ่มักมีการกำหนดระยะเวลาผ่อนผันการชำระเบี้ย 31 วัน นับตั้งแต่วันครบกำหนดชำระ หากเรามีเงินไม่พอในวันที่ต้องชำระ สามารถเลื่อนระยะเวลาการชำระออกไปได้ แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้พ้นระยะผ่อนผัน
• ขอเปลี่ยนงวดการชำระ หากเราประเมินสถานการณ์แล้วว่าจะหาเงินมาชำระเบี้ยไม่ทัน แต่เรายังคงมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ เราสามารถเปลี่ยนจากการชำระเงินก้อนเดียวรายปี มาแบ่งชำระทุก 3 เดือนหรือทุก 6 เดือนแทนได้ ช่วยให้เราไม่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว
• ลดจำนวนเงินเอาประกัน หากเรามองว่าประกันกำลังจะกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายระยะยาวที่มากเกินไปจนทำให้ชำระไม่ไหว เราสามารถติดต่อบริษัทเพื่อขอลดจำนวนเงินเอาประกันเพื่อให้เบี้ยประกันถูกลงได้ โดยจำนวนเงินเอาประกันจะต้องไม่ต่ำกว่าทุนประกันขั้นต่ำที่กำหนดไว้ และเราต้องไม่มีหนี้กับบริษัทขณะที่ขอลดทุนประกันด้วย
• เปลี่ยนรูปแบบกรมธรรม์ เราสามารถขอเปลี่ยนรูปแบบประกันของเราเป็นแบบอื่นตามที่บริษัทมีการกำหนดไว้ได้ กรณีมีค่าส่วนต่างของเงินค่าเวนคืนหรือเบี้ยประกัน บริษัทจะคืนเงินให้เราหลังจากหักด้วยหนี้สินที่มี หรืออาจมีการเก็บเงินเพิ่มได้
• เวนคืนกรมธรรม์ หากไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ การเวนคืนกรมธรรม์ก็เป็นทางออกสุดท้าย แต่ควรเปรียบเทียบมูลค่าเวนคืนกับเบี้ยประกันที่ได้ชำระไปก่อนตัดสินใจ และหากเราไม่จ่ายเบี้ยประกัน บริษัทจะเวนคืนกรมธรรม์และนำเอามูลค่าที่ได้มาชำระเบี้ยประกันอัตโนมัติในรูปแบบของการกู้ยืม มีการคำนวณดอกเบี้ยทบต้นตามอัตราดอกเบี้ยในกรมธรรม์ และสามารถบวกเพิ่มดอกเบี้ยได้อีก 2% ต่อปีด้วย โดยสามารถขอกู้ยืมไปได้เรื่อยๆ จนกว่ามูลค่าเวนคืนจะมีไม่พอจ่ายเบี้ยประกัน บริษัทจัดทำการแปลงกรมธรรม์เป็นกรมธรรม์แบบขยายเวลาหรือกรมธรรม์ใช้เงินสำเร็จอัตโนมัติ แต่เราสามารถชำระคืนเงินกู้ภายหลังพร้อมดอกเบี้ยได้

หากหยุดจ่ายเบี้ยประกันจะเป็นอย่างไร

การหยุดชำระเบี้ยประกันสุขภาพอาจเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ปัญหาทางการเงินหรือการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจเช่นนี้มีผลกระทบที่ตามมา ซึ่งคุณควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ ดังนี้

• สิ้นสุดความคุ้มครอง ต่อให้เป็นประกันสุขภาพ คุ้มครองทันที แต่สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นหลังจากหยุดชำระเบี้ยประกันภัยคือการสิ้นสุดความคุ้มครองตามกรมธรรม์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองชีวิต การเจ็บป่วย หรือความคุ้มครองอื่นๆ ที่ได้ทำประกันไว้ ซึ่งหมายความว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้ความคุ้มครอง บริษัทประกันจะไม่จ่ายเงินชดเชยให้
• มูลค่ากรมธรรม์ลดลง กรมธรรม์ประกันภัยมีมูลค่าสะสมอยู่ภายใน ซึ่งเรียกว่ามูลค่าเวนคืน หากคุณหยุดชำระเบี้ย มูลค่าเวนคืนนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว และหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป อาจเหลือมูลค่าเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
• ไม่สามารถฟื้นฟูกรมธรรม์ได้ในทุกกรณี แม้ว่าในบางกรณี คุณอาจสามารถฟื้นฟูกรมธรรม์ได้หลังจากหยุดชำระเบี้ย แต่อาจต้องตรวจสุขภาพใหม่ จ่ายเบี้ยประกันที่สูงขึ้นกว่าเดิม หรือมีเงื่อนไขเพิ่มเติม
• สูญเสียสิทธิประโยชน์อื่นๆ นอกจากความคุ้มครองหลักแล้ว กรมธรรม์ประกันภัยบางประเภทอาจมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น เงินปันผล หรือสิทธิในการกู้ยืมเงินจากกรมธรรม์ การหยุดชำระเบี้ยจะทำให้คุณสูญเสียสิทธิประโยชน์เหล่านี้ไปด้วย

เบี้ยประกันสุขภาพ หมดห่วงเรื่องค่ารักษา สำหรับคนอยากวางแผนการเงิน

เบี้ยประกันสุขภาพ คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้เอาประกันต้องชำระให้กับบริษัทประกันเพื่อแลกกับความคุ้มครองด้านสุขภาพ หากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล บริษัทประกันจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งอาจรวมถึงค่าโรงพยาบาล ค่าแพทย์ ค่าผ่าตัด และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่ว่าเป็นประกันสุขภาพ OPD หรือ IPD ทั้งนี้ เบี้ยประกันสุขภาพจึงเป็นการลงทุนเพื่อให้คุณอุ่นใจในยามที่เจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน

การเลือกซื้อประกันสุขภาพ ควรพิจารณาให้รอบคอบ โดยเปรียบเทียบแผนประกันจากหลายๆ บริษัท เพื่อเลือกแผนที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของตนเอง ควรอ่านรายละเอียดในกรมธรรม์ให้เข้าใจ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมและตรงตามความต้องการ

และสำหรับใครที่ต้องการตัวช่วยด้านการเงินยามฉุกเฉินหรือคนที่ต้องการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ เมื่อเกิดปัญหาฉุกเฉิน เราขอแนะนำบัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยเบิกถอนเงินสดออนไลน์ที่ปลอดภัยและสะดวกรวดเร็ว สามารถเบิกถอนเงินสดผ่านแอป KTC Mobile ได้ตลอด 24 ชม. หรือ กดเงินผ่านตู้ ATM ทั่วประเทศ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมการกดเงิน อีกทั้งยังสามารถใช้รูดผ่อนสินค้าดอกเบี้ย 0% กับร้านค้าที่ร่วมรายการได้

*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 25% ต่อปี

อัตราดอกเบี้ย 0% เมื่อชำระยอดผ่อนตามที่เรียกเก็บรายเดือน ภายในวันครบกำหนดชำระ

มากกว่าบัตรกดเงินสด ชีวิตง่ายขึ้นเมื่อมี KTC PROUD เพื่อนคู่คิดเรื่องเงินของคุณ