บริหารโบนัสก้อนโตอย่างไร เพื่อต่อยอดและลงทุน?
ทุกสิ้นปี นอกจากวันหยุดปีใหม่ที่มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรารอคอยแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ก็คือโบนัสประจำปีที่เปรียบเสมือนสิ่งที่ตอบแทนการทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี แต่เคยไหม มีโบนัสก้อนโตอยู่ดี ๆ รู้ตัวอีกทีก็ใช้โบนัสหมดไปเสียแล้ว?
หากคุณเคยประสบกับสถานการณ์เหล่านี้ อาจจะเป็นเพราะยังไม่รู้จักวิธีการบริหารเงินที่ดีมากพอ ดังนั้นการศึกษาวิธีบริหารเงินโบนัส และวิธีเก็บเงินอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราไม่ควรละเลย ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะบริหารเงินโบนัสอย่างไร และไม่รู้ว่าจะนำโบนัสไปใช้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองมากที่สุด บทความนี้มีตัวเลือกดี ๆ มาแนะนำ!
เลือกอ่านตามหัวข้อ
เงินโบนัส คืออะไร?
โบนัส หมายถึง เงินเพิ่มเติมที่บริษัทมอบให้แก่พนักงานนอกเหนือจากเงินเดือนหรือค่าจ้างปกติ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณและเป็นการกระตุ้นให้พนักงานทำงานอย่างเต็มที่ มีความขยันขันแข็ง และมีความผูกพันกับองค์กร
ใครหลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่าการที่บริษัทจ่ายโบนัสให้กับพนักงานเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย เนื่องจากหลายบริษัทก็มักจะจ่ายโบนัสให้กับพนักงานทุกปี โดยแต่ละบริษัทมักจะมีรอบการจ่ายเงินโบนัสที่ไม่เหมือนกัน เช่น จ่ายทุกไตรมาส ทุกครึ่งปี หรือทุกปี และแต่ละปีพนักงานก็จะได้รับโบนัสแตกต่างกันออกไปตามกำไรของบริษัทนั่นเอง
แม้การจ่ายเงินโบนัสไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย บริษัทจึงไม่จำเป็นจะต้องจ่ายโบนัสให้กับพนักงานเสมอไป เว้นแต่ว่าในสัญญาจ้างงานระบุไว้อย่างชัดเจนว่าบริษัทประสงค์จะจ่ายเงินโบนัสให้กับพนักงาน อย่างไรก็ตาม โบนัสเป็นหนึ่งในสวัสดิการพนักงานที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงานโดยตรง เมื่อได้รับโบนัส เรามักจะรู้สึกว่าการทำงานของเราได้รับการยอมรับและมีคุณค่า ทำให้มีกำลังใจและพยายามทำงานให้ดีที่สุด
แนะนำการบริหารเงินโบนัสสำหรับต่อยอดในอนาคต
เมื่อได้โบนัสจากที่ทำงานมาแล้ว บางคนอาจจะวางแผนใช้เงินโบนัสกันตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีไอเดียว่าจะวางแผนบริหารเงินโบนัสยังไงให้เงินยังอยู่กับเราไปนาน ๆ หรือต่อยอดได้ เรามี 6 ไอเดียดี ๆ มาแนะนำ
1. ศึกษาการลงทุนทุกรูปแบบ
การลงทุนเป็นวิธีที่ดีในการทำให้เงินโบนัสของคุณงอกเงย แต่การลงทุนที่ว่าก็มีหลากหลายวิธี ทำให้ใครหลายคนอาจสงสัยว่าถ้าเราเป็นมือใหม่ควรลงทุนอะไรดี โดยปกติแล้ววิธีการลงทุนที่นิยมกันในกลุ่มของมือใหม่ แบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ดังนี้
- หุ้น: การลงทุนในหุ้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงได้ในระยะยาว ทั้งนี้สำหรับมือใหม่ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้น ควรศึกษาบริษัทที่สนใจลงทุน อ่านงบการเงินและติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องให้ละเอียดถี่ถ้วนมากพอ พร้อมพิจารณาความเสี่ยงที่ตัวเรารับได้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน
- กองทุนรวม: กองทุนรวมมีหลายประเภท เช่น กองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ กองทุนตลาดเงินที่มีสภาพคล่องสูง กองทุนหุ้นที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงแต่ความเสี่ยงก็มากขึ้นเช่นกัน ควรเลือกกองทุนที่ตรงกับวัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้
- ทองคำ: ทองคำเป็นทรัพย์สินที่มีค่าและสามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ การลงทุนในทองคำสามารถทำได้ทั้งในรูปแบบของทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ หรือผ่านกองทุนที่ลงทุนในทองคำ แต่ควรลงทุนในระยะยาว
- ออมทรัพย์: อาจเลือกบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง เพื่อให้เงินโบนัสของคุณงอกเงยขึ้น แม้จะเป็นวิธีที่มีผลตอบแทนต่ำ แต่ก็มีความเสี่ยงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการลงทุนในรูปแบบที่มีความเสี่ยงต่ำ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเลือกลงทุกในรูปแบบต่าง ๆ ควรพิจารณาให้ดีถึงความเสี่ยงในการลงทุน และความเสี่ยงที่เรารับไหวก่อน เนื่องจากการลงทุนทุกรูปแบบล้วนมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งยังควรลงทุนในจำนวนเงินที่เหมาะสม ซึ่งไม่ควรเป็นจำนวนที่มากไปจนทำให้เราลำบากหลังจากลงทุน
2. ชำระหนี้สิน
การใช้โบนัสในการชำระหนี้สินเป็นอีกวิธีที่เหมาะสมสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะนำเงินโบนัสไปใช้ทำอะไรดี หนี้สินเปรียบเสมือนก้อนหินที่ถ่วงเราไว้ การชำระหนี้ด้วยโบนัสเปรียบเสมือนการทลายกำแพงหนี้สินออกไป ช่วยให้เราจ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง ประหยัดเงินในกระเป๋า และนำเงินส่วนนั้นไปต่อยอดได้มากกว่า
เมื่อปลดหนี้บางส่วนเราจะมีเงินสดหมุนเวียนมากขึ้น พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน วางแผนอนาคต หรือลงทุนต่อยอดได้อย่างมั่นใจ การตัดสินใจชำระหนี้ด้วยโบนัสจึงสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เหลือเงินเก็บมากขึ้น และการชำระหนี้ตรงเวลายังช่วยให้มีประวัติเครดิตดี ทั้งหมดนี้จะส่งผลดีต่อโอกาสในการขอสินเชื่อในอนาคต เช่น การขอสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถแลกเงิน หรือแม้แต่การสมัครงาน นอกเหนือกว่าผลประโยชน์ด้านการเงิน การปลดหนี้ยังช่วยลดความเครียด เพิ่มความสบายใจ และมั่นใจในอนาคตมากขึ้น
3. เก็บออมสำหรับเป็นเงินฉุกเฉิน
การมีเงินเก็บฉุกเฉินจะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ดีขึ้น ควรเก็บออมให้มีเงินฉุกเฉินเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิตอย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วย การซ่อมแซมบ้าน และการตกงาน เนื่องจากถ้าเราไม่มีเงินเก็บออม อาจจะทำให้เรามีเงินไม่พอใช้ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
4. เก็บออมสำหรับเกษียณ
นอกจากการแบ่งโบนัสไว้ใช้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ แล้ว การแบ่งโบนัสส่วนหนึ่งเป็นเงินออมสำหรับการเกษียณก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ยังไม่รู้ว่าจะนำโบนัสไปใช้ทำอะไร แม้พนักงานที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานหลายคนอาจมองว่าการวางแผนเกษียณเป็นสิ่งที่ค่อนข้างไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราควรให้ความสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นทำงานด้วยซ้ำ เพราะการวางแผนเกษียณที่ดี และมีประสิทธิภาพมากพอ เป็นหนึ่งในเครื่องยืนยันว่าเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังจากที่เกษียณอายุ แม้จะไม่มีรายได้จากการทำงานประจำก็ตาม โดยอาจบริหารเงินโบนัสโดยแบ่งเก็บออมไว้ใช้สำหรับเกษียณ 10% ของโบนัส หรือตามความเหมาะสมของแต่ละคน
5. คำนวณภาษี
หลาย ๆ คนอาจไม่ทราบว่าโบนัสก็เป็นหนึ่งในรายรับที่ต้องนำมาคำนวณภาษี ทำให้เราต้องเสียภาษีในจำนวนไม่น้อยเมื่อรวมโบนัสบริษัทเข้าไปด้วย โดยเฉพาะพนักงานบริษัทที่มีเงินเดือนหลักแสนที่บางครั้งต้องเสียภาษีเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือน
ดังนั้นการนำโบนัสมาใช้ในการชำระหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลจึงสามารถช่วยลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยในอนาคต และทำให้มีเงินเหลือมากขึ้นสำหรับการลงทุนหรือใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น
สำหรับใครที่ไม่มั่นใจว่าเงินเดือนต้องเสียภาษีเท่าไหร่ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความนี้ : เงินเดือนเท่าไหร่เสียภาษี? เจาะลึกวิธีเช็กแบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง
6. ให้รางวัลตัวเอง
การให้รางวัลตัวเองเป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำงานต่อไปในอนาคต แต่ควรทำอย่างมีสติ ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ควรเลือกซื้อสิ่งที่มีคุณค่าต่อตัวคุณเอง การให้รางวัลตัวเองเป็นได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการพักผ่อน การไปเที่ยวประเทศในฝัน การซื้อของที่เราเล็งไว้มานาน หรือการทำกิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุข
บริหารเงินโบนัสอย่างชาญฉลาด เพื่ออนาคตมั่นคง
การจ่ายโบนัสไม่ใช่ข้อบังคับทางกฎหมาย แต่เปรียบเสมือนสิ่งจูงใจที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเรามีแรงจูงใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น โดยการวางแผนบริหารเงินโบนัสหลังจากที่เงินโบนัสออกเป็นตัวช่วยที่จะทำให้เราได้นำเงินไปต่อยอดให้งอกเงยขึ้นมาได้ และป้องกันปัญหาเงินหมดไวเกินกว่าที่ควรจะเป็น
สำหรับใครที่ยังไม่มีแพลนจะนำโบนัสไปใช้อาจลองพิจารณาศึกษาการลงทุนทุกรูปแบบ และเลือกลงทุนในรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเอง นำโบนัสส่วนหนึ่งไปชำระหนี้สินที่ค้างไว้ เก็บเป็นเงินออมเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เก็บออมสำหรับเกษียณเพื่อคุณภาพที่ดีในอนาคต นำรายได้ทั้งปีรวมถึงโบนัสมาคำนวณภาษีเพื่อวางแผนการจ่ายภาษี และให้รางวัลตัวเองที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งปี
สำหรับใครที่พลาดวางแผนการเงินได้ไม่ดี โบนัสหมดไวแต่ยังจ่ายหนี้ไม่หมด เราขอแนะนำบัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยฉุกเฉินของมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ มีฟังก์ชันให้เลือกใช้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเบิกถอนเงินสดผ่าน ATM หรือผ่าน Application KTC Mobile ตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถซื้อสินค้าทางออนไลน์และที่หน้าร้านค้า รวมถึงผ่อนสินค้าได้ทุกที่ ทุกเวลาอีกด้วย
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี
บัตรกดเงินสด KTC PROUD อีกหนึ่งตัวช่วยเรื่องการเงินยามฉุกเฉิน