ถึงแม้บางบริษัทจะมีสวัสดิการพนักงาน อย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่จะช่วยให้มนุษย์เงินเดือนมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณแล้วก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้นทุกปี จนทำให้เงินเกษียณในอนาคตมีมูลค่าลดลง พนักงานประจำจึงต้องวางแผนการเงินที่สร้างผลตอบแทนเพิ่มเติม เช่น หารายได้จากเงินปันผลหุ้น อย่างไรก็ตามพนักงานประจำที่ไม่เคยลงทุนในหุ้นมาก่อน ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะหารายได้จากตลาดหุ้นได้ ดังนั้นเราจึงนำเทคนิควิธีดูปันผลหุ้น พร้อมแนะนำหุ้นให้ปันผลมาแล้วในบทความนี้
KEY TAKEAWAY
- เงินปันผลหุ้น คือ ผลตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น จากการที่เข้ามาลงทุนในบริษัท
- การจ่ายปันผล มี 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.จ่ายเป็นเงินสด และ 2.จ่ายเป็นหุ้นปันผล
- วิธีรับเงินปันผลหุ้น 2 วิธี คือ 1.รับจากบัญชีเงินฝาก และ 2.รับในรูปแบบเช็ค
- สูตรคำนวณหาอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล คือ (เงินปันผลต่อหุ้น/ราคาหุ้น)*100
- เงินปันผลมีข้อดี ได้แก่ 1.สร้าง Passive income และ 2.ช่วยในการต่อยอดการลงทุน
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- เงินปันผล คืออะไร
- เงินปันผลกับหุ้นปันผล แตกต่างกันอย่างไร
- ข้อดีของการได้รับเงินปันผล
- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) คืออะไร
- สูตรการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล
- การอ่านค่าจากสูตร Dividend Yield
- ควรได้เงินปันผลจากการลงทุนเท่าไหร่ ถึงจะเรียกได้ว่าคุ้ม
- เงินปันผลหุ้น แหล่งรายได้จากการลงทุน ที่ห้ามมองข้าม!
เงินปันผล คืออะไร
เงินปันผลหุ้น คือ ผลตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น จากการที่เข้ามาลงทุนในบริษัท ซึ่งโดยทั่วไปแล้วบริษัทมักจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ ส่วนจะจ่ายเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับมติของคณะกรรมการบริษัท แต่ก็มีบางกรณีที่บริษัทจ่ายเงินปันผลจากกำไรพิเศษ เช่น ขายสินทรัพย์บางอย่างออกไป จนมีเงินเหลือมากเพียงพอที่จะนำไปจ่ายคืนให้แก่ผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีมากกว่า 900 บริษัท ทำให้การออมในหุ้นเพื่อได้เงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ จนมีเงินมากเพียงพอที่จะเกษียณได้ จำเป็นต้องศึกษาว่าหุ้นบริษัทไหนจ่ายปันผลสูง โดยมีวิธีเช็กว่าบริษัทไหนจ่ายปันผลสูงได้จาก ประวัติการจ่ายเงินปันผลในอดีต หากในอดีตจ่ายปันผลสูง ก็มีโอกาสที่ในอนาคตจ่ายปันผลสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งจากประวัติที่ผ่านมาพบว่าหุ้นกลุ่มธนาคาร และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของไทย จ่ายปันผลอยู่ในระดับดีมาตลอด
เงินปันผลกับหุ้นปันผล แตกต่างกันอย่างไร
มีบางกรณีที่บริษัทไม่ได้จ่ายผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลหุ้น เพราะบริษัทเลือกจ่ายเป็นหุ้นแบบปันผลแทน ซึ่งรูปแบบการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวเป็นสิ่งที่นักลงทุนสงสัยมากที่สุดว่าแตกต่างจากเงินปันผลแบบทั่วไปอย่างไร โดยมีข้อแตกต่างระหว่างเงินปันผลและหุ้นปันผล ดังต่อไปนี้
การได้รับเงินปันผล
เป็นรูปแบบการจ่ายผลตอบแทนในลักษณะของเงินสด เช่น หากคุณถือหุ้นบริษัท A อยู่ 25,000 หุ้น บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 5 บาทต่อหุ้น เท่ากับว่าคุณจะได้รับเงินปันผลทั้งสิ้น 125,000 บาท ทั้งนี้บริษัทสามารถประกาศจ่ายปันผลได้มากกว่า 1 ครั้งต่อปี ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท
การได้รับหุ้นปันผล
หุ้นปันผลแตกต่างจากเงินปันผลตรงที่บริษัทจะจ่ายผลตอบแทนในรูปแบบของหุ้นแทนเงินสด เช่น หากคุณถือหุ้นบริษัท B อยู่ที่ 50,000 หุ้น บริษัทประกาศจ่ายผลตอบแทนหุ้นปันผล 5:1 หมายความว่าผู้ถือหุ้นเดิมจะได้ 1 หุ้นใหม่ ทุก 5 หุ้นเดิมที่มีอยู่ ซึ่งเท่ากับว่ากรณีนี้จะได้หุ้นปันผลจำนวนทั้งสิ้น 10,000 หุ้น
อย่างไรก็ตามผู้ถือหุ้นบางส่วนไม่ชื่นชอบการปันผลที่จ่ายเป็นหุ้นบริษัท เนื่องจากมีจำนวนหุ้นมากขึ้น ทำให้กำไรสุทธิต่อหุ้นต่ำลง หรือที่เรียกกันว่า Dilution Effect แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าบริษัทที่จ่ายปันผลเป็นหุ้น จะไม่ใช่บริษัทที่ไม่ดีเสมอไป เพราะผู้บริหารอาจเล็งเห็นว่าควรเก็บเงินสดเอาไปลงทุนต่อยอด เพื่อสร้างกำไรให้สูงขึ้นในอนาคต ก็ได้เช่นเดียวกัน
ข้อดีของการได้รับเงินปันผล
1. สร้าง Passive Income
เงินปันผลหุ้นเป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับเป็นประจำทุกปี ทำให้แม้อยู่ในวัยเกษียณแล้ว ก็สามารถหารายได้ โดยไม่ต้องทำงาน อย่างไรก็ตามก็ควรหมั่นติดตามข่าวสารผลประกอบการของบริษัทเป็นประจำ เพราะถึงแม้ในอดีตหุ้นจ่ายปันผลสูง แต่ในอนาคต บริษัทก็อาจจ่ายปันผลลดลงได้ หากธุรกิจเกิดการ Disruption
2. ต่อยอดการลงทุนได้
หลังจากที่ได้รับเงินปันผลหุ้นมาแล้ว นักลงทุนสามารถนำเงินไปลงทุนตามช่องทางต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง อย่างไรก็ตามหากไม่รู้ว่ามือใหม่ควรลงทุนอะไรดี ที่จะรักษาเงินต้นเอาไว้ได้ เราแนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างบัญชีเงินฝากประจำ หรือพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) คืออะไร
ถึงแม้จะวางแผนลงทุนในบริษัทคุณภาพดี ที่จ่ายเงินปันผลหุ้นอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ตาม แต่ใช่ว่าคุณจะได้ผลตอบแทนที่สูงเสมอไป ซึ่งสามารถตรวจสอบว่าหุ้นปันผลน่าลงทุนตัวนั้นจ่ายปันผลสูงหรือไม่ ได้จากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล โดยอัตราส่วนดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเงินปันผลต่อหุ้นต่อราคาหุ้น หมายความว่าหากบริษัทจ่ายปันผลสูง แต่ได้ซื้อหุ้นในราคาแพง ก็ทำให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล น้อยกว่าผู้ที่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่านั่นเอง
สูตรการคำนวณอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล
ความสัมพันธ์ของอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลหุ้นข้างต้น สามารถแปลงเป็นสูตรได้ดังนี้
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล = (เงินปันผลต่อหุ้น/ราคาหุ้น)*100
ยกตัวอย่างเช่น หากบริษัท C จ่ายปันผล 1 บาทต่อหุ้น และในขณะนั้นราคาหุ้นอยู่ที่ 17 บาท เท่ากับว่า Dividend Yield ของบริษัท C คือ 1/17*100 =5.88 %
โดยหลังจากคำนวณอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลออกมาแล้ว หากเห็นว่ามีผลตอบแทนสูง นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะไม่ลงทุนในบริษัทนั้นในทันที เพราะจะนำผลตอบแทนจากเงินปันผล ไปเปรียบเทียบกับอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์อื่น เช่น พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ หรือหุ้นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เป็นต้น หากพบว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของหุ้นที่สนใจมีผลตอบแทนสูง และความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ก็จะลงทุนในหุ้นบริษัทนั้นในภายหลัง
การอ่านค่าจากสูตร Dividend Yield
จากสูตรคำนวณอัตราผลตอบแทนเงินปันผลหุ้น สามารถหาตัวแปรมาแทนค่าในสูตรได้จากช่องทางดังต่อไปนี้
1.กำไรต่อหุ้น หรือ Earning per share หาได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนของงบแสดงฐานะทางการเงิน หรือนักลงทุนสามารถคำนวณวิธีคิดเงินปันผลต่อหุ้นด้วยตนเอง ได้จากการนำกำไรสุทธิต่อปีของบริษัท/จำนวนหุ้นทั้งหมด เช่น หากบริษัท C กำไรสุทธิอยู่ที่ 405 ล้านบาท มีจำนวนหุ้นทั้งสิ้น 300 ล้านหุ้นเท่ากับว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัท C เท่ากับ 405/300 = 1.35 บาทต่อหุ้น
2.ราคาหุ้น- สามารถตรวจสอบได้จากราคาปิดของสินทรัพย์ หลังสิ้นวันซื้อขาย
ทั้งนี้บริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผล จะมีตัวเลข Dividend Yield ให้เห็นที่หน้างบแสดงสถานะทางการเงิน ส่วนบริษัทที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผล จะไม่มีข้อมูล Dividend Yield ปรากฏขึ้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนบางคนอาจสงสัยว่ามีวิธีรับเงินปันผลหุ้นได้อย่างไร? คำตอบคือ ปัจจุบันสามารถรับเงินปันผลหุ้นได้ 2 ช่องทาง ได้แก่
1.รับเงินปันผลหุ้นจากบัญชีเงินฝาก ที่นักลงทุนระบุไว้ในข้อมูลตอนเปิดพอร์ตการลงทุน
2.รับเงินปันผลหุ้นในรูปแบบเช็ค
ควรได้เงินปันผลจากการลงทุนเท่าไหร่ ถึงจะเรียกได้ว่าคุ้ม
นักลงทุนมือใหม่ต่างสงสัยว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินปันผลหุ้นต้องมากเท่าไหร่ ถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน คำตอบขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายในชีวิตของนักลงทุนของแต่ละคนนั้นคืออะไร หากอยู่ในวัยเกษียณ ผลตอบแทนเงินปันผลที่มากกว่า 5% ต่อปี ถือว่าเป็นผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่สูง เพราะเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ แล้ว จะพบว่าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 5 % ต่อปี มีจำนวนน้อยมาก
แต่ถ้าอยู่ในช่วงวัยเริ่มต้นทำงานผลตอบแทน 5% อาจเป็นจำนวนเงินที่น้อย เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นสร้างเนื้อสร้างตัว ซึ่งผลตอบแทนจำนวนที่คุ้มค่าของวัยนี้ ก็ควรมากกว่า 10% ต่อปี ขึ้นไป สาเหตุที่ต้องเป็นตัวเลข 10% ต่อปี เนื่องจากราคาสินทรัพย์เสี่ยง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐ หรือทองคำ ล้วนปรับตัวเฉลี่ยปีละ 10% ซึ่งส่วนมากแล้วผลตอบแทนมากกว่า 10% มักไม่ใช่ผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินปันผล แต่เป็นกำไรจากส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ ด้วยเหตุนี้เองการลงทุนรูปแบบดังกล่าวจึงมีความเสี่ยงสูงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เงินปันผลหุ้น แหล่งรายได้จากการลงทุน ที่ห้ามมองข้าม!
เงินปันผลหุ้นถือเป็นแหล่งรายได้จากการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าลงทุนในบริษัทคุณภาพดี ก็จะได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี และสามารถนำเงินปันผลหุ้นที่ได้รับไปลงทุนต่อยอด โดยไม่ต้องใช้เงินต้นก้อนเดิม ที่สำคัญหากเป็นพนักงานประจำที่เกษียณอายุแล้ว ก็นำเงินปันผลหุ้นที่ได้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แถมเหลือเงินต้นเป็นมรดกให้แก่ลูกหลานได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหากวางแผนการเงินผิดพลาด นำเงินไปลงทุนหุ้นมากเกินไป จนไม่เหลือเงินสำรองยามฉุกเฉิน ต้องไม่พลาดกับบัตรกดเงินสด KTC PROUD บัตรกดเงินสดที่อนุมัติไวภายในหนึ่งสัปดาห์ พร้อมให้วงเงินสูงสุดถึง 1 ล้านบาท เงินเดือน 12,000 บาท ขึ้นไป ก็สมัครได้
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย25% ต่อปี
บริหารจัดการเงินยามฉุกเฉิน ด้วยบัตรกดเงินสด KTC PROUD