การลงทุนระยะยาวเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนที่ต้องการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืน หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับการยอมรับกันมากก็คือ VI (Value Investment) หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
และถือครองระยะยาว สำหรับผู้ที่สนใจอยากลงทุน วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ VI กันให้มากยิ่งขึ้น
Value Investment (VI) คืออะไร ?
VI หรือ Value Investment คือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ซึ่งหลักการสำคัญของ VI คือการลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า "หุ้นคุณค่า" (Value Stocks) โดยนักลงทุนจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เช่น รายได้ กำไร กระแสเงินสด และศักยภาพในการเติบโตในอนาคต โดยมีเป้าหมายที่จะถือลงทุนในระยะยาว เพราะแนวคิดของ VI คือการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำเพื่อรอคอยกำไร (Buy Low, Sell High) เนื่องจากเชื่อว่าการถือครองในระยะยาว ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นสู่มูลค่าที่แท้จริง แล้วจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าความเสี่ยงนั่นเอง
VI คือเลขอะไร ?
บางคนอาจเข้าใจผิดว่า VI เป็นตัวเลขทางการเงิน แต่จริงๆ แล้ว VI ไม่ใช่ตัวเลขใดๆ แต่เป็นตัวย่อของ Value Investment ซึ่งหมายถึงการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ดังนั้นเมื่อนักลงทุนกล่าวถึง VI จึงหมายถึงแนวทางการลงทุนแบบระยะยาวที่เน้นเลือกหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
Value Investor ควรมีคุณสมบัติแบบไหน ?
นักลงทุน VI หรือ Value Investor ที่ต้องการใช้กลยุทธ์ VI ให้ประสบความสำเร็จ ควรมีคุณสมบัติดังนี้
1.มีความอดทนสูง
เพราะการลงทุนแบบ VI ต้องอาศัยระยะเวลาในการรอให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นสู่มูลค่าที่แท้จริง ซึ่งบางครั้งต้องใช้เวลาหลายปี ดังนั้นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีความอดทน ไม่หวั่นไหวกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้น รวมถึงต้องเข้าใจว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นธรรมชาติ
2.มีความรู้ด้านการวิเคราะห์หุ้น
นักลงทุน VI คือผู้ที่ต้องอ่านงบการเงินและวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทได้อย่างแม่นยำ รวมไปถึงต้องพิจารณากำไรขาดทุน งบดุล กระแสเงินสด อัตราส่วนทางการเงิน และปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทได้ เพราะความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจเลือกลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
3.ต้องตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
นักลงทุน VI ที่ประสบความสำเร็จต้องมีหลักการที่ชัดเจน ไม่ตื่นตระหนกไปกับความผันผวนของตลาด ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสข่าวลือ และไม่ขายหุ้นเพียงเพราะราคาตกลงมาในระยะสั้น แต่จะต้องพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก
4.ต้องเข้าใจธุรกิจที่ลงทุน
นักลงทุน VI ที่ดีควรเลือกลงทุนในบริษัทที่ตนเองสามารถเข้าใจได้ว่าบริษัททำธุรกิจอะไร มีแหล่งรายได้จากไหน และมีโอกาสเติบโตในอนาคตอย่างไร เพราะการเข้าใจในธุรกิจที่ลงทุนจะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยให้ตัดสินใจลงทุนอย่างมีเหตุผลมากขึ้นด้วย
5.ไม่หลงไปกับกระแส
นักลงทุน VI ต้องไม่ลงทุนตามอารมณ์หรือข่าวลือที่เกิดขึ้นในตลาด เพราะในบางครั้งราคาหุ้นอาจถูกดันขึ้นจากปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับมูลค่าพื้นฐานของบริษัท เช่น กระแสข่าว โฆษณาชวนเชื่อ เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจลงทุนควรพิจารณาข้อมูลทางการเงินและปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างรอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดเพราะแรงกระตุ้นจากตลาดนั่นเอง
การลงทุนแบบ VI เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว แต่ต้องมีความอดทนและความเข้าใจในธุรกิจที่ลงทุนด้วย
ปัจจัยในการเลือกลงทุนหุ้นฉบับ Value Investment
การเลือกหุ้นแบบ VI มีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้
- ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
นักลงทุนควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น P/E Ratio, P/B Ratio และ Dividend Yield เพื่อตรวจสอบว่าหุ้นที่กำลังพิจารณามีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงหรือไม่ เพราะการซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าจะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว
- มูลค่าพื้นฐานของบริษัท
นักลงทุนควรศึกษาปัจจัย เช่น รายได้ กำไร กระแสเงินสดของบริษัท เพื่อตรวจสอบว่าบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่มั่นคงหรือไม่ นอกจากนี้ ควรพิจารณาสัดส่วนทางการเงิน เช่น ROE และ ROA เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท
- ต้องมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง
บริษัทที่ดีควรมีงบการเงินที่มั่นคง มีหนี้สินต่ำ กำไรต่อเนื่อง และมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต รวมไปถึงความสามารถในการทำกำไรของบริษัท ว่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างยั่งยืนหรือไม่
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอ
นักลงทุนควรพิจารณาบริษัทที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ หากบริษัทสามารถจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ก็แสดงถึงความมั่นคงทางการเงินและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ดี
- มีความสามารถในการแข่งขัน
บริษัทที่ดีควรมีจุดแข็งที่ทำให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมได้ เช่น เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แบรนด์ที่แข็งแกร่ง หรือการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ หากบริษัทมีข้อได้เปรียบเชิงแข่งขัน จะช่วยให้สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวได้นั่นเอง
- ทีมบริหารที่มีวิสัยทัศน์
นักลงทุนควรเลือกบริษัทที่มีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ มีความสามารถ และมีธรรมาภิบาลที่ดี ควรตรวจสอบว่าผู้บริหารมีประวัติความโปร่งใสหรือไม่ และเคยมีพฤติกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทในทางลบหรือไม่ โดยทีมบริหารที่แข็งแกร่งนี้ จะสามารถพาบริษัทเติบโตและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน
10 ข้อควรรู้และข้อควรระวังเมื่อเลือกลงทุนแบบ VI
- การลงทุนแบบ VI ต้องใช้เวลา : นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการลงทุนแบบ VI ไม่ได้ให้ผลตอบแทนรวดเร็วเหมือนการเก็งกำไร แต่ต้องอดทนรอให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง
- อย่าซื้อหุ้นเพียงเพราะราคาถูก : หุ้นที่ราคาถูกอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ เช่น ปัญหาทางธุรกิจหรือการบริหารงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบงบการเงินบริษัทให้ละเอียด : งบการเงินเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจเลือกลงทุนได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นไม่ควรลงทุนหากยังไม่เข้าใจงบการเงินของบริษัท และไม่ควรลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการขาดทุน
- หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่ขาดสภาพคล่อง : หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำอาจขายออกยากเมื่อต้องการเปลี่ยนการลงทุน
- ติดตามแนวโน้มอุตสาหกรรม : ธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองวันหนึ่งอาจกลายเป็นขาลงได้ ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและตลาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังถดถอย
- วิเคราะห์ข่าวอย่างมีวิจารณญาณ : ข่าวลือและกระแสตลาดมักส่งผลต่อราคาหุ้นในระยะสั้น แต่การตัดสินใจลงทุนควรอิงจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมากกว่าเชื่อข่าวลือ
- พิจารณาการบริหารของบริษัท : หากทีมผู้บริหารดีก็จะสามารถสร้างมูลค่าให้บริษัทในระยะยาวได้ ในขณะตรงกันข้าม หากทีมผู้บริหารไม่มีความสามารถในการบริหาร ไม่มีวิสัยทัศน์หรือธรรมาภิบาลที่ดี ก็จะส่งผลให้บริษัทขาดทุนและเกิดความเสียหายได้
- ต้องกระจายความเสี่ยง : การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง นอกจากนักลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุนแล้ว ก็อย่าลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว ควรกระจายพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนด้วย
- ติดตามข่าวบริษัทและปรับกลยุทธ์ : แม้การลงทุนแบบ VI จะเน้นการลงทุนระยะยาว แต่นักลงทุนก็ไม่ควรละเลยการติดตามผลการดำเนินงานของบริษัท หากพบว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม
- รักษาวินัยและอัปเดตความรู้ตลอดเวลา : การลงทุนแบบ VI ต้องอาศัยวินัยและความสม่ำเสมอ อย่าหยุดเรียนรู้หรือปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลใหม่ๆ นักลงทุนที่ดีควรติดตามข่าวสาร ศึกษางบการเงิน และพัฒนาแนวคิดการลงทุนของตนเองอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
การลงทุนที่ดีต้องมีทั้งความรู้และสภาพคล่องทางการเงิน
สำหรับนักลงทุนสาย VI การบริหารเงินอย่างชาญฉลาดเป็นสิ่งสำคัญ บัตรเครดิต KTC พร้อมช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านการลงทุน การสมัครคอร์สเรียนต่างๆ หรือจัดการกระแสเงินสดระหว่างรอโอกาสลงทุนที่ใช่ สมัครบัตรเครดิต KTC ผ่านทางออนไลน์ได้แล้ววันนี้ ตลอด 24 ชั่วโมง
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC