KYC เรื่องควรรู้ ก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน
ทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีช่องโหว่ให้มิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามานำข้อมูลของลูกค้าไปใช้ประโยชน์ ด้วยการสวมรอยเข้าใช้งาน E-Mail หรือ Social Network อื่น ๆ ก่อนหลอกให้เพื่อนเจ้าของบัญชีหลงเชื่อแล้วโอนเงินให้ หรือนำข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของบุคคลอื่นไปใช้ในการเปิดบัญชีธนาคารและแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ และเพื่ออุดช่องโหว่ในการทำธุรกรรม ทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือสำนักงาน ปปง. ได้ออกกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้ลูกค้าแสดงตน หรือ KYC ขึ้นมา แต่เชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยทราบว่า KYC คืออะไร มีความสำคัญต่อทุกคนและโลกธุรกิจอย่างไร วันนี้เคทีซีได้รวบรวมข้อมูลมาฝาก
รู้จัก KYC คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรในชีวิตประจำวัน
ทำความรู้จักลูกค้าผ่านกระบวนการ KYC
KYC ย่อมาจากคำว่า “Know Your Customer” หากแปลเป็นไทยก็คือ “กระบวนการทำความรู้จักกับลูกค้า” ที่ผู้ให้บริการทำความรู้จักลูกค้าผ่านการระบุตัวตน และพิสูจน์ตัวตนอย่างถูกต้อง ซึ่งก็คือ KYC เป็นวิธีที่สถาบันการเงินใช้ยืนยันตัวตนของลูกค้า ทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล หรือผู้เยาว์ เพื่อป้องกันมิจฉาชีพโจรกรรมข้อมูลบัตรประชาชนไปเปิดบัญชีปลอม แอบอ้างทำบัตรเครดิต เพื่อทำการฟอกเงินได้ โดยแบ่งการตรวจสอบลูกค้าอย่างกว้างได้ 2 ประเภท คือ
การยืนยันตัวตนลูกค้า (Identification)
ขั้นตอนการยืนยันตัวตนลูกค้า หรือ KYC ยืนยันตัวตนเป็นขั้นตอนแรกก่อนการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การยื่นบัตรประจำตัวประชาชนเป็นหลักฐานเพื่อยืนยันตัวผู้ทำธุรกรรมว่าเป็นบุคคลจริง แต่จากการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้การปลอมแปลงในส่วนของการยืนยันตัวตนง่ายดายมากยิ่งขึ้น การพิสูจน์ตัวตนลูกค้าจึงเพิ่มบทบาทเข้ามา
การพิสูจน์ตัวตนลูกค้า (Verification)
KYC Verification คือ การพิสูจน์ตัวตนลูกค้าก่อนการทำธุรกรรมด้วยวิธีการที่น่าเชื่อถือ ยืนยันผลได้อย่างแน่นอน มีทั้งหมด 2 วิธี ได้แก่
1. การตรวจสอบโดยสถาบันทางการเงินเอง
เป็นขั้นตอนการตรวจสอบโดยสถาบันทางการเงินเป็นผู้ติดต่อและประสานงานกับลูกค้าโดยตรง แบ่งย่อยออกเป็น 2 แนวทาง ได้แก่
- การพิสูจน์ตัวตนแบบเห็นหน้า (Face-to-Face)
การตรวจสอบโดยเห็นหน้าผู้ทำธุรกรรมเพื่อพิสูจน์ตัวตนของผู้ทำธุรกรรม และยืนยันด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ด้วยการอ่านข้อมูลจากชิปบนบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นเจ้าตัวผู้ทำธุรกรรมจริง และใช้บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงในการทำธุรกรรม ซึ่งไม่สามารถทำได้หากผู้ทำธุรกรรมไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง
- การพิสูจน์ตัวตนแบบไม่เห็นหน้า (Non Face-to-Face)
การตรวจสอบโดยไม่เห็นหน้าผู้ทำธุรกรรมมักจะเป็นธุรกรรมออนไลน์ แต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วย eKYC หรือการยืนยันตัวตนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ สถาบันการเงินมักจะให้ลูกค้าถ่ายรูปตนเองและบัตรประจำตัวประชาชนส่งให้ รวมถึงอาจมีการติดต่อผ่านวิดีโอเพื่อสังเกตอากัปกิริยาของลูกค้าด้วย
2. การตรวจสอบผ่านการยืนยันด้วยระบบดิจิทัล
ประเทศไทยมีข้อเสนอแนะมาตรฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารที่จำเป็นต่อธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ว่าด้วยแนวทางการใช้ดิจิทัล เรื่อง การลงทะเบียนและพิสูจน์ตัวตน ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้หน่วยงานสามารถพิสูจน์บุคคลได้อย่างแม่นยำ เช่น National Digital ID Platform (NDID Platform) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางในการตรวจสอบตัวตนของบุคคล ทำให้สถาบันการเงินสามารถให้บุคคลที่ได้ผ่านการพิสูจน์จากแพลตฟอร์มกลางดังกล่าวทำธุรกรรมได้
การปฏิบัติตามมาตรการ KYC เป็นประโยชน์อย่างมากในการลดจำนวนการกระทำอันมาจากการแอบอ้างเป็นผู้อื่น ลดจำนวนผู้เสียหายจากการถูกแอบอ้างลงได้ ลดการสนับสนุนธุรกรรมของกลุ่มก่อการร้าย และการฟอกเงินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
วิธีแสดงตนของลูกค้าสถาบันการเงิน
KYC มีบทบาทกับทุกคนในสังคมและมีหลายหน่วยงานนำมาปรับใช้
เพื่อเป็นการยืนยันข้อมูลว่าบุคคลที่ต้องการทำธุรกรรมคือคนที่มีตัวตนอยู่จริงไม่ได้เป็นการแอบอ้าง ก่อนทำธุรกรรมทางการเงินลูกค้าจำเป็นต้องแสดงตนทุกครั้ง โดยวิธีการแสดงตนนั้นต้องเป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง วิธีการแสดงตนของลูกค้าสถาบันการเงินและผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินกำหนด
ข้อมูลและหลักฐานแสดงตน กรณีบุคคลธรรมดายืนยันตัวตน
- ชื่อ-นามสกุล
- วัน เดือน ปีเกิด
- แสดงบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง หรือใบขับขี่
- ที่อยู่ตามทะเบียนบ้านและที่อยู่ปัจจุบัน
- อาชีพ ชื่อและที่อยู่สถานที่ทำงาน
- หมายเลขโทรศัพท์ E-Mail
- ลายมือชื่อผู้ทำธุรกรรม
เพื่อความคุ้มทุกการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต คลิกสมัครที่นี่
กระบวนการพิสูจน์การแสดงตนและการทบทวนข้อมูลลูกค้าของ KTC
หลังจากลูกค้าแสดงข้อมูลยืนยันตัวตนแล้ว ทางเคทีซีมีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าลูกค้าเป็นเจ้าของข้อมูลและแสดงหลักฐานจริง เช่น การตรวจสอบบัตรประชาชนที่ใช้แสดงตนกับระบบการตรวจสอบทางอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อป้องกันการแอบอ้างหรือขโมยตัวตนของบุคคลอื่นในการทำธุรกรรม พร้อมปรับปรุงข้อมูลการแสดงตนของลูกค้าให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด เพื่อให้การระบุตัวตนของลูกค้ามีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ตามกฎกระทรวงการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า พ.ศ. 2563
ประเทศที่ใช้ KYC และแนวทางการใช้
การยืนยันตัวตน KYC สามารถทำได้หลากหลายแนวทาง
การยืนยันตัวตนแบบ KYC ได้รับความนิยมในหลายประเทศทั่วโลก ประเทศที่มีความโดดเด่นเกี่ยวกับการยืนยันตัวตน เช่น ประเทศอินเดียที่มีประชากรกว่า 99% ใช้ระบบ eKYC ในการยืนยันตัวตนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่วางรากฐานและออกข้อบังคับเกี่ยวกับ KYC เพื่อลดการฟอกเงินและการสนับสนุนการก่อการร้าย ประเทศอื่น ๆ ในโลกรวมถึงประเทศไทยด้วยก็มีการรับระบบ KYC เข้ามาเพื่อยืนยันตัวตนของผู้ทำธุรกรรม เน้นประโยชน์ไปที่การฟอกเงินและธุรกรรมผิดกฎหมายเป็นหลัก
ปัจจุบันสถาบันการเงินได้ให้ความสำคัญกับ KYC นับว่ามีประโยชน์ต่อการทำธุรกรรมการเงิน เพราะช่วยป้องกันมิจฉาชีพนำข้อมูลของคุณไปทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำของการยืนยันตัวตนและเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ KYC ไม่มีจุดบกพร่องและเป็นตัวช่วยในการลดปัญหาฟอกเงินระดับชาติ ซึ่งเป็นผลดีโดยภาพรวมกับทุกฝ่าย
อ้างอิงข้อมูล: ธนาคารแห่งประเทศไทย, Thales, SWIFT, Zipmex
สมัครบัตรเครดิตออนไลน์ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย…ที่นี่
ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี