เรื่องสิวไม่เข้าใครออกใคร และไม่ใช่แค่คนหน้ามันเท่านั้นที่จะเป็นสิว เพราะสาเหตุของสิว เกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งสภาพผิวที่เกิดจากกรรมพันธุ์ และฮอร์โมนที่แตกต่างกัน รวมไปถึงปัจจัยภายนอก เช่น แพ้เครื่องสำอาง หรือผิวหน้าถูกกระตุ้นจากวัตถุหรือมลภาวะต่างๆ ก็สามารถเกิดสิวขึ้นได้
ในเมื่อทุกคนมีโอกาสเป็นสิว จึงควรทำความเข้าใจกับสิวแต่ละประเภท รวมไปถึงการดูแลรักษาสิวเบื้องต้น เพราะถ้าดูแลไม่ถูกวิธี อาจมีผลกระทบต่อผิวหน้าในระยะยาว เช่นรอยแผลเป็น หรือหลุมสิว ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจอย่างแน่นอน ดังนั้น เรามาทำความรู้จักสิวกันเลย หลักๆ แล้ว เราแบ่งลักษณะสิวออกเป็น 2 ประเภทตามการอักเสบ ได้แก่ สิวอุดตัน (หรือสิวไม่อักเสบ) และ สิวอักเสบ
กลุ่มสิวอุดตัน (Non-Inflammatory acne)
สิวอุดตัน เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.1-3 มิลลิเมตร
มีความคล้ายสิวผด ไม่แดง กดแล้วไม่รู้สึกเจ็บ แต่จะสร้างความรำคาญใจ และบางครั้งสิวจะหลุดออกไปได้เอง แต่ถ้ามีเชื้อแบคทีเรียเข้ามา ก็อาจจะพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้
สิวเหล่านี้รอวันพัฒนาจนเป็นสิวอักเสบ ซึ่งผลที่ตามมาหลังจากเป็นสิวอักเสบคือ รอยสิว และหลุม
สิวหัวดำ (Black Head or Open Comedone) หรือ สิวอุดตันหัวเปิด ลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ เห็นหัวสิวและมีจุดสีดำตรงกลาง รักษาด้วยการใช้ยาแต้มสำหรับสิวอุดตันโดยเฉพาะ และการกดสิว สิวอุดตันหัวเปิด สีดำที่เกิดขึ้นก็คือไขมันที่ทำปฏิกริยากับอ็อกซิเจนในอากาศ อยู่ไม่ลึก รักษาได้ง่าย
สิวหัวขาว (White Head or Closed Comedone) หรือสิวอุดตันหัวปิด เป็นตุ่มนูนยังไม่ดันทะลุผิวออกมา ลูบแล้วจะเหมือนมีตุ่มนูนขึ้น ห้ามแกะหรือกดออก เพราะจะเป็นการทำร้ายผิว ดูแลด้วยการทำความสะอาดใบหน้า ควบคุมความมัน
กลุ่มสิวอักเสบ (Inflammatory acne)
สิวอักเสบ คือ สิวอุดตัน ที่มีเชื้อแบคทีเรียเข้ามาเจริญเติบโตอยู่ในตุ่มสิว และก่อให้เกิดอาการอักเสบ เชื้อแบคทีเรียนี้ชื่อว่า P.acne กระจายบริเวณรอบๆ ตุ่มสิว ร่างกายจึงพยายามใช้เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อแบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอม กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ จนกลายเป็นสิวอักเสบขึ้นมา ซึ่งสิวเหล่านี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี อาจกลายเป็นสิวอักเสบที่รุนแรงและก่อให้เกิดแผลเป็นได้ โดยสามารถแบ่งประเภทของสิวอักเสบได้ตามขนาดและความรุนแรงออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
สิวตุ่มนูนแดง (Papule) สิวอักเสบขนาดเล็กและยังไม่รุนแรง ขนาดไม่เกิน 5 มม เป็นสิวชนิดหนึ่งที่เป็นตุ่มยื่นขึ้นจากผิว สิวชนิดนี้จะไม่มีหัวไม่มีรูเปิดเหมือนสิวหัวดำ ลักษณะจะเป็นตุ่มแดงมีการอักเสบโดยรอบ ถ้าสัมผัสโดนจะไม่มีอาการเจ็บใดๆ แต่ถ้าไม่รักษาจะเติบโตเป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
สิวตุ่มนูนแดง ไม่ควรบีบหัวสิวออก เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดแผลเป็นได้ เป็นสิวอักเสบระยะเริ่มต้น
รักษาด้วยการทำความสะอาดใบหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและงดสครับใบหน้า
สิวตุ่มหนอง (Pastule) เป็นสิวอักเสบที่เริ่มรุนแรงขึ้น ลักษณะเป็นตุ่มแดงนูน มีหัวสีขาว และมีอาการปวด ขนาดใหญ่กว่าสิวอุดตัน ประมาณ 5-10 มม. มีหลายชนิด บางชนิดจะพัฒนาจะสิวตุ่มนูนแดงก่อน ฐานสิวจะมีสีแดง ตรงกลางของสิวจะเป็นหนอง สีขาวนูนขึ้นมา สิวอักเสบแบบหัวหนอง มีอาการแดงๆ รอบหัวสิว ใช้เวลาหายประมาณ 2-6 สัปดาห์ ไม่ควรบีบ ควรรอให้สิวปะทุออกมาเอง
ในขณะที่เป็นสิวชนิดนี้ ควรดูแลด้วยการล้างหน้าให้สะอาด และแต้มยาที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย วันละ 2-3 ครั้ง
สิวหัวช้าง (Nodule) สิวอักเสบแดงแบบก้อนลึก ใหญ่ แข็ง อักเสบ มีขนาดตั้งแต่ 5-8 มม. ขึ้นไป บางครั้งเป็นการรวมตัวกันเป็นแพ หายช้าและมักทำให้เกิดแผลเป็นตามมา จับแล้วรู้สึกเจ็บ ข้างในแข็งเหมือนมีไต เป็นสิวขนาดใหญ่ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จะมีอาการปวดและทรมานมาก หากปล่อยไว้อาจกลายเป็นฝีหนอง ควรพบแพทย์ผิวหนัง ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาด้วยตนเอง
สิวซีสต์ (Cyst) เป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่ มักมีขนาดใหญ่ได้หลายเซนติเมตร ลักษณะเป็นหนองปนเลือด มีอาการเจ็บร่วมด้วย พบได้ไม่บ่อย ภายในสิวจะมีความนุ่มเพราะมีหนองและเลือดอยู่ มักก่อให้เกิดแผลเป็น เป็นสิวที่รุนแรงที่สุด ถึงแม้รักษาจนหายแล้ว จะกลายเป็นแผลก้อนนูนหรือหลุมสิวขนาดใหญ่ ด้วยความรุนแรงและรักษาได้ยากกว่าสิวแบบอื่น ควรรับการรักษาจากแพทย์เท่านั้น
การรักษาสิว
การรักษาสิวในระยะเริ่มต้น หรือสิวอุดตันทั่วไปนั้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ด้วยการไม่แกะหรือบีบสิว ล้างหน้าให้สะอาด และใช้ยาแต้มสิวที่แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องจากคำแนะนำของแพทย์ผิวหนัง เพื่อลดโอกาสลุกลามและอักเสบจนกลายเป็นสิวที่มีความรุนแรง
แต่หากเป็นสิวอักเสบแล้ว จำเป็นต้องรักษาด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการป้องกันการเกิดสิวใหม่ และลดการอักเสบของสิวเดิม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา
ในปัจจุบันการรักษาสิวมีทั้งยาทาเฉพาะที่และยารับประทาน โดยจะเลือกใช้วิธีรักษาแบบใด ขึ้นกับความรุนแรงของสิวในขณะนั้น ยาทาเฉพาะที่ที่ใช้ในการรักษาสิวมีหลายกลุ่มด้วยกัน เช่น ยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว แต่เนื่องจากถ้าใช้แต่เพียงตัวเดียว อาจทำให้เกิดการดื้อยาได้ จึงควรใช้ร่วมกับยาทาในกลุ่มอื่นๆ เช่น ยากลุ่ม benzoyl peroxideโดยทาทิ้งไว้ 5-10 นาที จะช่วยลดสิวอุดตันและลดการอักเสบของสิวได้ และยาในกลุ่มวิตามินเอ ซึ่งจะช่วยลดการเกิดสิวอุดตันและช่วยทำให้สิวอุดตันที่เกิดขึ้นแล้วหลุดลอกออกไปได้โดยง่าย ยาทาเฉพาะที่ส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง อาจทำให้เกิดรอยแดง แห้งหรือลอกได้ ดังนั้นจึงควรทาบาง ๆ และเริ่มใช้ในปริมาณน้อย ๆ ก่อน ถ้ามีอาการระคายเคืองให้หยุดยาดังกล่าว แต่ถ้าไม่มีอาการแสบหรือแดงก็สามารถทายาปริมาณมากขึ้น หรือทายาแล้วทิ้งเอาไว้นานขึ้นก่อนจะล้างออกได้
ในกรณีที่สิวอักเสบเป็นรุนแรง การใช้ยาทาแต่เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องรับประทานยาร่วมด้วย ซึ่งมีทั้งยาปฏิชีวนะและยาในกลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ สำหรับยาในกลุ่มอนุพันธ์นี้มักจะได้ผลดีในการรักษาสิว แต่ราคาค่อนข้างสูงและมีผลข้างเคียงคือ ทำให้ริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง ตาแห้ง ซึ่งต้องระมัดระวังในผู้ที่ใส่คอนแทคเลนส์ เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผลข้างเคียงอื่นที่พบคือ อาจทำให้ระดับไขมันในร่างกายหรือการทำงานของตับผิดปกติ นอกจากนี้ยาดังกล่าวยังห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์เนื่องจากจะทำให้ทารกในครรภ์พิการ จึงควรใช้ยาประเภทนี้อย่างระมัดระวังและอยู่ในการดูแลของแพทย์ นอกจากนี้การใช้ฮอร์โมนในรูปของยาคุมกำเนิดบางชนิด อาจทำให้สิวอักเสบในผู้ป่วยบางรายดีขึ้นได้โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสิวสัมพันธ์กับการมีประจำเดือน
สำหรับการรักษาด้วยการกดสิว ควรทำโดยแพทย์ผู้รักษาเพื่อขจัดสิวอุดตัน แต่ไม่ควรบีบหรือแกะสิวเอง เนื่องจากอาจเกิดการติดเชื้อซ้ำลงไปบริเวณนั้นและทำให้เกิดรอยดำหรือแผลเป็นตามมาได้ ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบมาก แพทย์อาจพิจารณาฉีดยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในตำแหน่งที่เกิดสิวอักเสบนั้น ก็จะช่วยให้สิวยุบลงได้ ดังนั้นการรักษาสิวจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดตามมา
นอกจากนี้ เรายังสามารถดูแลตัวเอง เพื่อลดโอกาสในการเกิดสิวได้ ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างการ
- ควบคุมความมันของใบหน้า ด้วยการล้างหน้าให้สะอาด ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว
- ดื่มน้ำเยอะๆ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวและขับของเสียจากร่างกาย
- ลดอาหารประเภทของทอด ของมัน ของหวาน เพิ่มการทานผัก ผลไม้
- เปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ซักผ้าห่ม เป็นประจำทุกสัปดาห์
- หลีกเลี่ยงแดดจัด และทาครีมกันแดดที่ไม่อุดตันรูขุมขน ป้องกันการเกิดสิวอุดตัน
ข้อมูลอ้างอิง
การรักษาสิวด้วยยา : https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=781
https://www.glamourmagazine.co.uk/article/can-you-pop-acne-pustules
https://www.healthline.com/health/papules-acne