ในปัจจุบัน คลินิกที่เกี่ยวกับความสวยความงามมีมากมายจนทำให้หลายคนเกิดความสับสน แต่หลักๆ แล้ว คลินิกแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ คลินิกผิวหนัง คลินิกศัลยกรรม และคลินิกปรับรูปหน้า ดังนั้นการเลือกคลินิกให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคลินิกแต่ละประเภทใช้เพื่อรักษาและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน
อยากยกกระชับ ลดริ้วรอย หรือปรับรูปหน้านิดหน่อย โดยไม่ต้องถึงกับศัลยกรรม ควรเลือก “คลินิกปรับรูปหน้า”
“คลินิกผิวหนัง” จะเน้นรักษาสิว ฝ้า กระ หรือโรคผิวหนัง ไปจนถึงการบำรุงด้วยทรีตเมนต์ หรือเลเซอร์ชนิดต่างๆ ส่วน “คลินิกศัลยกรรม” มักจะใช้เพื่อปรับโครงสร้างหน้า หรือแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวัน เช่น ความพิการแต่กำเนิด ส่วนใหญ่จะใช้การผ่าตัด ซึ่งต้องใช้เวลาในการศัลยกรรมและพักฟื้นนาน ผลที่ได้ทำให้ใบหน้าหรือรูปร่างเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ในขณะที่ “คลินิกปรับรูปหน้า” เป็นคลินิกที่ใช้เทคนิคทางหัตถการ เพื่อปรับรูปหน้าให้ดูดี เข้ารูปขึ้นโดยไม่เปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าเดิม เช่น การฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ ร้อยไหม และยกกระชับหน้าด้วยเครื่องมือโดยไม่มีการผ่าตัด ใช้เวลาในการทำไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ สามารถทำได้เรื่อยๆ ซึ่งผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย โครงหน้ายังเป็นหน้าของเราเหมือนเดิม ช่วยกลบจุดด้อย เสริมจุดเด่น ให้ดูดีขึ้น
คลินิกปรับรูปหน้า เหมาะกับใคร?
การปรับรูปหน้า เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลตัวเอง ซึ่งสามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย แต่จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อทำในอายุช่วง 25-35 ปี เพราะเป็นช่วงที่ใบหน้าและร่างกายมีความสมบูรณ์ที่สุด และเป็นช่วงเวลาสำคัญในการทำงาน ที่ต้องพบปะผู้คน ต้องสร้างความมั่นใจด้วยรูปลักษณ์และบุคลิกภาพ แถมการเริ่มปรับรูปหน้าในช่วงเวลานี้ จะสามารถช่วยให้ชะลอวัยได้ดียิ่งขึ้น
เทคนิคที่ใช้ในการปรับรูปหน้ามีอะไรบ้าง? ต่างกันอย่างไร?
เทคนิคหลักๆ ที่ใช้เพื่อการปรับรูปหน้านั้น มีหลากหลายวิธี เช่น ฉีดโบท็อกซ์, ฉีดฟิลเลอร์, ร้อยไหม, ทำ HIFU ซึ่งแต่ละเทคนิคนั้นเหมาะกับการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน
การยกกระชับด้วยเครื่องมือยกกระชับ
นวัตกรรมการยกกระชับใบหน้าด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ เหมาะสำหรับคนที่มีงบประมาณมากขึ้นอีกนิด โดยการทำ HIFU (High Intensity Focus Ultrasound) จะให้ผลที่ดูเป็นธรรมชาติกว่าการร้อยไหม เครื่องมือยกกระชับใบหน้าที่คุ้นเคยกัน จะมี ULTHERA, Thermage, Ultraformer ซึ่งแต่ละเครื่องจะมีประสิทธิภาพต่างกัน และระยะเวลาในการเห็นผลก็ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าต้องการผลลัพธ์แบบใด เช่น หากต้องการผิวเนียนขึ้น ลดอายุเหมือนผิวเด็ก แนะนำให้ทำ Thermage เพราะยิงคลื่น RF (Radio Frequency) ไปยังชั้นผิวที่ตื้นกว่า Ulthera แต่ถ้าอยากยกกระชับผิวที่ลึกลงไปในชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) หรือชั้นผิวที่ใช้ในการดึงหน้า ควรเลือก Ulthera หรือ Ultraformer เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ซึ่งการใช้ Ultraformer นั้นจะใช้งบน้อยกว่า แต่ได้ปริมาณช็อตมากกว่า และเจ็บน้อยกว่า แต่ระยะเวลาเห็นผลก็จะสั้นกว่าเช่นกัน
การฉีดโบท็อกซ์ ใช้แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า
โดยปกติเมื่อคนเราอายุมากขึ้น ชั้นผิวจะบางลง เวลาขยับกล้ามเนื้อผิวจึงเป็นรอยพับ วิธีการรักษา คือ ทำให้ชั้นผิวหนังหนาขึ้น เพื่อลดริ้วรอย ซึ่งจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-4 เดือนถึงจะเห็นผลลัพธ์ในการรักษา แต่ถ้าอยากเห็นผลเร็ว สามารถใช้การฉีดโบท็อกซ์ เพื่อควบคุมกล้ามเนื้อชั้นล่างไม่ให้เกิดการพับรอยย่น จะทำให้รอยย่นหายไปชัดเจนใน 1-2 อาทิตย์ได้ หรือใช้เพื่อลดขนาดของกล้ามเนื้อ ให้มีขนาดเล็กลง เช่น กราม กล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อหัวไหล่ เป็นต้น
การฉีดฟิลเลอร์ ใช้เพื่อเติมเต็มส่วนที่ยุบตัว หรือหย่อนคล้อย
ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง ที่มีสาเหตุทั้งจากอายุ โรคประจำตัว หรือ ร่างกายที่เสื่อมลงตามวัย โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา ร่องแก้ม จะใช้วิธีฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มจำพวก Hyaluronic Acid ให้ดูอิ่มขึ้น ซึ่งฟิลเลอร์จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน - 1 ปี และสามารถฉีดเติมได้เรื่อยๆ เพราะฟิลเลอร์แท้จะสลายได้เอง ไม่มีสารตกค้าง ไม่ต้องขูดออก และหากฉีดแล้วไม่พอใจ สามารถฉีดสลายได้ แต่ต้องระวังฟิลเลอร์ปลอม ที่เป็นซิลิโคนเหลว ฉีดเข้าไปแล้วไม่สามารถสลายได้ตามธรรมชาติ อาจเกิดปัญหารูปร่างผิดเพี้ยนในอนาคต จะเป็นอันตรายและต้องทำการขูดออก
การร้อยไหม ใช้เพื่อแก้ไขแก้มห้อยย้อยได้อยู่หมัด
วิธีนี้เหมาะกับคนที่งบประมาณจำกัด ต้องการยกกระชับเนื้อแก้มที่ย้อย แก้ไขด้วยการร้อยไหมเห็นผลดีที่สุด โดยไหมสมัยใหม่ที่ใช้ร้อย จะเป็นไหมก้างปลา ที่มีเงี่ยง ใช้เพื่อเกี่ยวเนื้อดึงขึ้นได้เหมือนตะขอเกี่ยวอยู่ใต้ผิวไม่ทำให้เป็นรอยย่น ซึ่งได้ผลชัดเจนกว่าไหมแบบเรียบ
การเปรียบเทียบข้อมูลก็สำคัญ ก่อนตัดสินใจ ควรดูรีวิวจากลูกค้า ดูผลงานคุณหมอ จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่ไม่ใช่รีวิวจากคลินิก เช่น พันทิป, ดั้งโด่ง.com หรือบล็อกเกอร์ความงาม ที่จะไม่กล่าวอ้างเกินจริง หรือหลอกลวงผู้บริโภค แล้วจดคำถามที่ยังสงสัย ไปถามจากคลินิกที่มั่นใจได้ว่า ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ที่สำคัญคือมีโอกาสให้ปรึกษากับคุณหมอโดยตรงก่อนเข้ารับบริการ เพราะการปรึกษากับคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ จะได้รับคำปรึกษาอย่างตรงจุด ไม่ขายของเกินจริง ไม่ขายฝัน ปรับรูปหน้าสวยดั่งใจ เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองในทุกๆ ด้าน เพราะความมั่นใจ จะเป็นประตูสู่โอกาส ไม่ว่าจะเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว หรือความสัมพันธ์