เพชร เป็นของมีค่าที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง ซึ่งการซื้อขายเพชรจะมีการวัดขนาดที่เรียกกันว่า “กะรัต” แน่นอนว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคย หรือเคยได้ยินคำว่ากะรัตกันมาบ้าง ซึ่งขนาดของกะรัตที่แตกต่าง มีผลต่อราคาของเพชร ดังนั้นใครที่กำลังวางแผนซื้อเพชร หรือสนใจในเรื่องของเพชร KTC ได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับเพชร กะรัตของเพชร และข้อควรรู้เกี่ยวกับเพชรมาฝากกัน
กะรัต คือ หน่วยวัดน้ำหนักของเพชรตามมาตรฐานสากล
กะรัตของเพชร คืออะไร?
กะรัตของเพชร (Carat Weight) ก็คือหน่วยน้ำหนักของเพชร และอัญมณีอื่นๆ เช่น ไพลิน และทับทิม เป็นหน่วยวัดมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก ที่กำหนดขึ้นโดยสถาบันอัญมณีศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา (GIA) เราจึงมักเห็นการใช้หน่วยกะรัตในการแสดงถึงน้ำหนักของเพชรตามห้างร้านต่างๆ กันอย่างแพร่หลายนั่นเอง
หน่วยกะรัตกับตังค์ แตกต่างกันอย่างไร?
ตามร้านขายเพชร หรือจิวเวอรี่ อาจจะพบเห็นหน่วยในการเรียกเพชรเป็น “ตังค์” ซึ่งมาจากคำว่า “สตางค์” ซึ่งไม่ใช่หน่วยวัดขนาดของเพชรที่เรียกกันแบบสากล โดยเพชร 1 กะรัตจะมีน้ำหนักเท่ากับ 100 สตางค์ หรือหากเแปลงเป็นหน่วยกรัม เพชร 1 สตางค์ก็จะมีขนาดเท่ากับ 0.001 กรัม หรือ 1 มิลลิกรัมนั่นเอง
เพชร 1 กะรัตมีขนาดเท่าไหร่?
หน่วยน้ำหนักของเพชร เรียกว่ากะรัต สำหรับเพชรขนาด 1 กะรัต จะมีน้ำหนักเท่ากับ 200 มิลลิกรัม หรือ 0.2 กรัม ซึ่งกะรัตของเพชรไม่ได้บ่งบอกถึงขนาดของเพชร แต่เป็นหน่วยที่ใช้วัดน้ำหนักของเพชรเท่านั้น
เพชร 12 กะรัต ราคาเท่าไหร่?
สำหรับราคาเพชร 1 กะรัต เริ่มต้นที่ 120,000 - 600,000 บาท แม้จะมีขนาดกะรัตเท่ากัน แต่อาจมีราคาที่แตกต่างกันมาก โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาเพชรนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่น้ำหนัก แต่ยังรวมถึง สีหรือน้ำ (Color) และความสะอาด (Clarity) ดังนั้นจึงไม่สามารถกำหนดราคาเพชรได้อย่างแน่นอนว่าเพชรขนาด 1-12 กะรัตนั้นมีราคาเท่าใด โดยอาจประเมินราคาได้ตั้งแต่ 120,000 - 10 ล้านบาทขึ้นไป
เพชร 1-95 ตังค์ ราคาเท่าไหร่?
เพชรขนาด 1 - 95 ตังค์ หรือแปลงเป็นกะรัตก็คือ 0.1 - 0.95 กะรัต ราคาจะเริ่มต้นที่ 300 - 300,000 บาท เรียกได้ว่ามีเกณฑ์ที่กว้างมาก ซึ่งราคาของเพชรนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดเพียงอย่าเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สีหรือน้ำ และความสะอาด รวมไปถึงรูปทรงของเพชรที่ถูกเจียระไน องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อราคาของเพชร
นอกจากน้ำหนักแล้ว ทั้งสีและความใสของเพชรก็ส่งผลต่อราคาเช่นกัน
ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่อราคาของเพชร
มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาของเพชร ไม่ว่าจะเป็น
- น้ำหนัก (Carat Weight)
แน่นอนว่าปัจจัยแรกก็คือน้ำหนักของเพชร หรือที่เรียกกันว่า “กะรัต” หากเพชรมีจำนวนกะรัตมาก ย่อมมีราคาแพงกว่าเพชรที่มีกะรัตน้อย
- สีหรือน้ำ (Color)
สีหรือน้ำของเพชร ก็ส่งผลต่อราคาของเพชรเช่นกัน โดยได้มีการจำแนกเกรดของสีหรือน้ำของเพชรเอาไว้ตั้งแต่เกรด D-Z โดยเกรด D คือเพชรที่มีสีขาวใส หรือไร้สี มีความระยิบระยับและเล่นกับแสงไฟ ถือเป็นเพชรเกรดสีที่ดีที่สุด ส่วนเพชรตั้งแต่เกรด N-Z เป็นเพชรเหลืองเกรดต่ำ เมื่อส่องไฟจะมองเห็นเป็นสีเหลือง ในวงการเพชรจึงไม่เป็นที่นิยม
- ความสะอาด (Clarity)
นอกจากสีแล้ว ความสะอาดของเพชรก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจากเพชรเป็นแร่หินชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ บางครั้งอาจมีตำหนิที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติได้เช่นกัน ดังนั้นยิ่งเพชรที่มีตำหนิน้อย หรือมีความสะอาดมาก ก็จะยิ่งมีราคาแพง ส่วนเพชรที่สามารถมองเห็นตำหนิได้ด้วยตาเปล่า ถือเป็นเพชรที่ไม่มีคุณภาพ มีราคาถูกและไม่เป็นที่นิยม
- การเจียระไน (Cut)
หลังจากได้เพชรมาในรูปแบบแร่หิน ก็ต้องผ่านการเจียระไน ซึ่งจะต้องใช้ช่างเจียระไนฝีมือดี มีความประณีตเชี่ยวชาญ และสามารถเจียระไนเพชรได้อย่างสมมาตร มีการเล่นกับแสงไฟและเกิดประกายการหักเหที่สะท้อนแสงออกมาได้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการรักษาน้ำหนักของเพชรไว้ให้ได้มากที่สุด ก็จะส่งผลให้เพชรเม็ดนั้นมีราคาสูงได้เช่นกัน
- อัตราการแลกเปลี่ยน (Exchange Rate)
อัตราการแลกเปลี่ยน และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ (USD) ก็ส่งผลต่อตลาดเพชรในประเทศไทยด้วยเช่นกัน เนื่องจากใช้สกุลเงินดอลลาร์ในการซื้อขาย ดังนั้นหากเป็นช่วงค่าเงินไทยอ่อน ราคาเพชรก็จะสูงขึ้นนั่นเอง
- ใบรับรองคุณภาพเพชร (Certificate)
เนื่องจากในปัจจุบันมีการปลอมแปลงเพชรเกิดขึ้นมากมาย บางครั้งอาจไม่ใช่ของปลอม แต่อาจเป็นเพชรคุณภาพต่ำที่ถูกนำไปปรับให้ดูคุณภาพสูง ดังนั้นในปัจจุบันวงการค้าขายเพชรจึงมักมีเอกสารใบรับรองคุณภาพเพชรจากสถาบันที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็น GIA หรือ HRD เพื่อยืนยันว่าเพชรเม็ดนี้ เป็นเพชรแท้ที่มีคุณภาพ ไม่ได้ถูกย้อมแมวมาแต่อย่างใด
ตารางราคากลางเพชร (Rapaport Price List) คืออะไร?
Rapaport Price List หรือก็คือตารางรายการราคาอ้างอิงกลางของเพชร ที่ถูกใช้ในระดับสากล และได้รับการยอมรับจากวงการเพชรทั่วโลก โดยตาราง Rapaport หรือตารางราคากลางนี้จะอัพเดททุกๆ วันศุกร์ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อย หรือไม่เปลี่ยนแปลงเลย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ แต่ส่วนใหญ่จะมีความคงที่ และไม่ผันผวน ซึ่งนักค้าเพชรทั่วโลกจะใช้ราคาจากตารางราคาดังกล่าวในการเป็นเกณฑ์เพื่ออ้างอิงราคาเพชรประเภทต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้กำหนดราคาตรงกับตาราง เพราะเพชรแต่ละเม็ดย่อมมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อราคาด้วยเช่นกัน
ตัวอย่างราคากลางเพชร หรือ Rapaport Price List
เพชรเป็นอัญมณีมีค่าที่หลายคนใฝ่ฝัน รวมไปถึงเหล่าคู่รักที่วางแผนแต่งงาน แหวนเพชรถือเป็นไอเทมแทนใจ แทนคำสัญญาในการครองคู่ ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อเพชรจากร้านที่ไว้ใจได้ หรือมีชื่อเสียงในด้านค้าเพชร จะได้มั่นใจในคุณภาพ ว่าจะได้เพชรแท้คุณภาพดีมาครอบครอง แน่นอนว่าการซื้อเพชรนั้นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แต่เพชรก็เป็นสินทรัพย์ที่มีราคาขึ้นทุกปี ถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียในการลงทุน
หากใครไม่อยากลงทุนก้อนใหญ่ ก็สามารถชำระผ่านบัตรเครดิต KTC ได้ ที่ Dilavie พร้อมรับสิทธิ์ในการผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืนไม่จำกัดยอดรับสูงสุด และแลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 13% เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ตั้งแต่ 12,000 บาทขึ้นไป และใช้คะแนน KTC FOREVER ตามความประสงค์ สูงสุดไม่เกินยอดใช้จ่ายต่อเซลส์สลิป, เครดิตเงินคืนคำนวณจากจำนวนคะแนนที่แลก ตั้งแต่ 15 พ.ย. 67 – 30 มิ.ย. 68 ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย และทำให้ทุกการช้อป คุ้มค่ากว่าที่เคย พร้อมฟรีค่าธรรมเนียมตลอดชีพ และรับคะแนน KTC FOREVER แบบไม่จำกัดยอดสะสมสูงสุด สิทธิพิเศษดีๆ แบบนี้ เฉพาะสมาชิกบัตรเครดิต KTC เท่านั้น สมัครบัตรเครดิต KTC ออนไลน์ด้วยตนเองง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ และรับสิทธิพิเศษได้เลย
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC