รอบรู้เรื่องพันธบัตรรัฐบาล อีกหนึ่งการลงทุนที่มั่นคง
การซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็นการลงทุนที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ มีความปลอดภัยในการลงทุน และโอกาสได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยค่อนข้างแน่นอน เพราะดำเนินการผ่านองค์กรที่น่าเชื่อถืออย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งพันธบัตรรัฐบาลสามารถซื้อได้แม้เป็นประชาชนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนมืออาชีพ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
พันธบัตรคืออะไร
พันธบัตรรัฐบาลคือตราสารหนี้รูปแบบหนึ่งที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล Bond Yield จะอยู่ในรูปแบบดอกเบี้ย และได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดเวลา กล่าวได้ว่าการลงทุนกับพันธบัตรรัฐบาล ผู้ซื้อจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ โดยมีรัฐบาลเป็นลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และคืนเงินต้นเมื่อถึงกำหนดเวลา
พันธบัตรรัฐบาลจะมีความคล้ายกับหุ้นกู้ แต่ต่างกันที่หุ้นกู้เป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยเอกชน เพราะฉะนั้นเมื่อพูดถึงพันธบัตรจึงมีความหมายถึงพันธบัตรรัฐบาลเท่านั้น
พันธบัตรรัฐบาลแบ่งออกได้หลายประเภทตามการออม ซึ่งพันธบัตรคืออะไร มีกี่ประเภทจะแบ่งออกอย่างกว้าง 5 ประเภท คือ
พันธบัตรรัฐบาลเป็นหนี้ตราสารรูปแบบหนึ่งที่น่าลงทุน
1.) พันธบัตรออมทรัพย์
เป็นพันธบัตรที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าพันธบัตรประเภทอื่น และออกแบบมาเพื่อประชาชนทุกคน มีกฎที่ระบุให้ผู้ซื้อเป็นประชาชนทั่วไป และห้ามเปลี่ยนมือพันธบัตรออมทรัพย์ในช่วงระยะเวลา 1 ปีแรก
2.) พันธบัตรดอกเบี้ยคงที่
เป็นพันธบัตรที่มีการกำหนดดอกเบี้ยคงที่ตลอดระยะเวลาถือครองพันธบัตร โดยพันธบัตรจะมีอายุได้ตั้งแต่ 1 – 50 ปี และมีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้ง และชำระเงินต้นคืนครั้งเดียวในวันไถ่ถอน
3.) พันธบัตรตั๋วเงินคลัง
เป็นพันธบัตรที่มีอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น ประมาณ 3 – 6 เดือน เหมาะกับนักลงทุน รัฐบาลจะออกพันธบัตรชุดนี้มาเมื่อต้องการบริหารเงินในระยะสั้น พันธบัตรประเภทนี้จะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย แต่จะขายในราคาส่วนลดจากหน้าตั๋ว เมื่อไถ่ถอนคืนจะได้มูลค่าตามที่ระบุหน้าตั๋ว กำไรจึงเป็นส่วนต่างของพันธบัตรนั่นเอง
4.) พันธบัตรอัตราดอกเบี้ยลอยตัว
เป็นพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ แต่จะออกมาในช่วงที่ต้องการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ พันธบัตรประเภทนี้จะมีอายุมากกว่า 1 ปี
5.) พันธบัตรรัฐบาลชดเชยเงินเฟ้อ
เป็นพันธบัตรที่ดอกเบี้ยไม่คงที่ โดยพันธบัตรประเภทนี้จะกำหนดดอกเบี้ยโดยอิงตามอัตราเงินเฟ้อในแต่ละช่วงเวลา มีกำหนดการจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 6 เดือน
พันธบัตรรัฐบาลจะเปิดการขายตามช่วงเวลา โดยมากมักจะเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์ปีละ 2 ครั้ง คือครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลัง ส่วนพันธบัตรอื่น ๆ จะเปิดขายตามโอกาส ผู้ที่สนใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจึงควรติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด
ข้อดีและข้อเสียของการซื้อพันธบัตรรัฐบาล
การลงทุนในพันธบัตรได้เงินจริง
การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ซึ่งการลงทุนผ่านพันธบัตรรัฐบาลก็มีความเสี่ยงเช่นกัน แต่น้อยกว่าการลงทุนประเภทอื่น ก่อนตัดสินใจซื้อพันธบัตรรัฐบาลจึงควรประเมินข้อดีและข้อเสียก่อน
ข้อดีของพันธบัตรรัฐบาล
- ความเสี่ยงน้อย มีอัตราดอกเบี้ยแน่นอน และดำเนินการโดยหน่วยงานใหญ่
- มีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ต่ำ
- สะดวกและสามารถลงทุนได้แม้ไม่ได้เป็นนักลงทุนมืออาชีพ
- มีหลายราคาให้เลือกลงทุนตามความพอใจของตนเอง
ข้อเสียของพันธบัตรรัฐบาล
- ดอกเบี้ยถูกล็อกเอาไว้แต่ละชุด ทำหบางครั้งพันธบัตรชุดหลังได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่า
- ทำกำไรได้น้อย แต่ก็พ่วงมาด้วยข้อดีที่ความเสี่ยงน้อยด้วยเช่นกัน
- มีจำนวนจำกัด การเข้าถึงจึงไม่ได้ทั่วถึงทุกคน
พันธบัตรรัฐบาลเหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาการลงทุนที่ความเสี่ยงน้อย และมีเงินเย็นเพียงพอในการซื้อพันธบัตร เป็นอีกแนวทางในการเก็บเงินเพื่อใช้จ่ายในอนาคต แต่หากวางแผนอนาคตในการซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือเงินก้อนฉุกเฉิน การซื้อพันธบัตรอาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะใช้เวลานานกว่าจะได้เงินคืน จึงต้องวางแผนการเงินด้วยวิธีการอื่น ๆ ประกอบด้วย แนะนำให้มนุษย์เงินเดือนมีบัตรเครดิตเอาไว้สำหรับเป็นตัวช่วยในการเงิน สามารถใช้รูดซื้อสินค้าและบริการได้อย่างเหมาะสม และยังเป็นการสร้างเครดิตให้กับผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อในอนาคตอีกด้วย
บัตรเครดิต ผู้ช่วยด้านการเงินที่คุ้มค่ากว่า
ช่องทางการซื้อพันธบัตรและการรับเงินคืน
การซื้อพันธบัตร คือการซื้อขายระหว่างสถาบันทางการเงินกับนักลงทุน เพื่อเป็นเจ้าของพันธบัตรรัฐบาล มีวิธีการซื้อและการรับเงินคืนพันธบัตรรัฐบาล ดังนี้
ช่องทางการซื้อพันธบัตรรัฐบาล
ผู้ที่สนใจซื้อพันธบัตรรัฐบาลต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพราะพันธบัตรไม่ได้เปิดจำหน่ายตลอดเวลา และส่วนใหญ่จะเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ที่จำหน่ายบ่อยที่สุด มีช่องทางในการจำหน่าย ดังนี้
- ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ตู้ ATM และ Mobile Application ของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย
- ผ่านวอลเล็ต สบม. ทางแอปพลิเคชันเป๋าตัง
การซื้อพันธบัตรรัฐบาลจะมีการระบุวงเงินพันธบัตร อัตราดอกเบี้ย และระยะเวลาของพันธบัตร ผู้ซื้อจะเลือกซื้อได้ตามความพอใจ โดยวงเงินขั้นต่ำจะเป็นไปตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด และเมื่อครบกำหนดจึงจะได้รับเงินต้นคืน
การรับเงินคืนจากพันธบัตรรัฐบาล
การรับเงินคืนจะแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ การรับเงินคืนของพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) และพันธบัตรแบบมีใบตราสาร (Bond Bank) ดังนี้
1.) การรับเงินคืนพันธบัตรแบบไร้ใบตราสาร
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคืนเงินต้นจากพันธบัตรเข้าบัญชีธนาคาร ยกเว้นบัญชีธนาคารออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจำ โดยข้อมูลผู้ถือกรรมสิทธิ์พันธบัตรจะได้มาจากข้อมูลจากทางบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
2.) การรับเงินคืนพันธบัตรแบบมีใบตราสาร
กรณีที่มีใบตราสารของพันธบัตรจะต้องนำส่งพันธบัตรคืนแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก่อนจึงจะได้รับเงินคืน โดยก่อนถึงกำหนดเวลาไถ่ถอน ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะส่งแบบคำร้องให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ยื่นเรื่องคืนพันธบัตรและกรอกรายละเอียดบัญชีที่ต้องการให้โอนเงินคืนให้ ยกเว้นบัญชีออมทรัพย์พิเศษ และบัญชีเงินฝากประจำ หากผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นผู้เยาว์อายุน้อยกว่า 15 ปี ผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้ลงลายมือชื่อให้ แต่หากผู้เยาว์อายุ 15 ปีขึ้นไป แต่น้อยกว่า 20 ปี ผู้ปกครองและผู้เยาว์จะต้องลงลายมือชื่อร่วมกัน
คนที่สนใจในการซื้อพันธบัตรมักจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการบริหารเงิน และมองหาความคุ้มค่าในการใช้จ่าย ซึ่งการให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าแบบนี้ต้องไม่พลาดการสมัครบัตรเครดิตเอาไว้ สามารถเลือกสมัครบัตรเครดิตออนไลน์ที่ตรงกับการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตเติมน้ำมัน บัตรเครดิตเพื่อการรูดซื้อสินค้าและบริการทั่วไป บัตรเครดิตจองตั๋วเครื่องบินและอื่น ๆ ซึ่งบัตรเครดิต KTC มีตอบโจทย์ครอบคลุมทุกความต้องการ นอกจากนั้นยังมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 45 วัน การสะสมคะแนนบัตรเครดิต และ Cashback ที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้จ่าย เหมาะกับคนที่มองหาตัวช่วยในการใช้จ่ายอันชาญฉลาด
อ้างอิงข้อมูล: ธนาคารแห่งประเทศไทย, Thai BMA
สมัครบัตรเครดิต ทางเลือกใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า
ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี