เตรียมนมแม่ให้พร้อมสำหรับลูกน้อยอย่างถูกวิธี
นมแม่มีความสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาการของลูก องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ (UNICEF) ให้คำแนะนำตรงกันว่าเด็กควรได้รับน้ำนมตั้งแต่วันแรกที่เกิด และกินแต่น้ำนมแม่ไปจนถึงอายุ 6 เดือน แล้วจึงกินนมแม่ควบคู่กับอาหารเสริมสำหรับเด็กไปจนถึง 2 ปี หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเด็ก จากข้อมูลนี้ทำให้เห็นว่าน้ำนมมแม่มีความสำคัญต่อเด็กแรกเกิดมาก การรู้วิธีปั๊มนมให้ลูกและการเก็บน้ำนมให้คงคุณภาพเอาไว้จึงมีความสำคัญ เพื่อให้ลูกมีน้ำนมแม่กินเพียงพอ
เลือกอ่านตามหัวข้อ
ประโยชน์ของนมแม่
นมแม่ถือเป็นอาหารหลักสำหรับลูกวัยแรกเกิด ซึ่งกระบวนการผลิตน้ำนมจะเริ่มตั้งแต่ช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 16 – 22 สัปดาห์ แต่น้ำนมจะมาในรูปแบบที่เรียกว่า Colostrum หรือหัวน้ำนม ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีน้ำนมหลั่งออกมาเพียงน้อยนิด คุณแม่บางคนอาจจะไม่รู้สึกถึงน้ำนมที่ไหลเลย ช่วงตั้งครรภ์จึงเป็นช่วงที่การเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ๆ เด่นชัดกว่าการผลิตน้ำนม คุณแม่ในช่วงนี้จะมุ่งเน้นที่การดูแลตัวเอง การดูแลพัฒนาการลูกน้อย ทั้งการนับอายุครรภ์ การนับลูกดิ้น การฟังเสียงหัวใจลูก การที่คุณแม่ไม่รู้สึกถึงน้ำนมในช่วงตั้งครรภ์จึงไม่ต้องกังวล ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อลูกคลอดออกมา กระบวนการผลิตน้ำนมจะเริ่มขึ้นโดยสมบูรณ์ เพื่อเป็นอาหารให้ลูก คุณแม่จะเริ่มสัมผัสได้ถึงน้ำนมที่เกิดขึ้นในเต้านม ซึ่งในน้ำนมมีประโยชน์ที่เหมาะกับเด็กอ่อนหลายประการ ได้แก่
น้ำนมระยะที่ 1 (Colostrum)
น้ำนมระยะแรกคือน้ำนมที่ไหลออกมาครั้งแรกหลังจากผ่านกระบวนการสร้างน้ำนมโดยสมบูรณ์แล้ว โดยปกติน้ำนมแม่จะไหลออกมาในช่วงหลังคลอดประมาณ 50 – 73 ชั่วโมง หรือ 2 – 3 วันหลังคลอด น้ำนมในระยะนี้จะมีสีเหลือง บางคนเรียก “น้ำนมเหลือง” เป็นน้ำนมที่มีสารอาหารมากที่สุด อุดมไปด้วยแคโรทีนที่สูงมาก และยังมีโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ คุณแม่บางคนบีบนมส่วนนี้ทิ้ง แต่จริง ๆ ควรให้ลูกกินตั้งแต่ระยะน้ำนมนี้เลย
น้ำนมระยะที่ 2 (Transitional Milk)
ระยะที่ 2 น้ำนมจะมีสีขาวขุ่นมากขึ้น ขั้นตอนนี้จะอยู่ประมาณวันที่ 5 – 14 วันแรก สารอาหารในน้ำนมช่วงนี้จะมีไขมันและน้ำตาลเพิ่มขึ้นมา เพื่อให้พลังงานแก่ลูก แต่แคโรทีนลดลง เป็นช่วงที่สารอาหารในนมแม่ยังคงสมบูรณ์ และเหมาะกับการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายและสมองของเด็กอ่อน
น้ำนมระยะที่ 3 (Mature Milk)
หลังจากพ้นระยะที่ 2 แล้ว หรือผ่านช่วง 14 วันหลังจากคลอดลูก น้ำนมแม่จึงมีปริมาณมากขึ้น สารอาหารจึงมากขึ้นตามปริมาณน้ำนมที่มากขึ้นไปด้วย โดยน้ำนมแม่มีสารอาหารหลัก ๆ ดังนี้
- โปรตีน – ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย เพิ่มพลังงานและพัฒนาการทางด้านร่างกาย
- ไขมัน – ช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองและการมองเห็น
- น้ำตาลแลคโตส – ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก โดยนมแม่มีโอลิโกแซคคาไรด์หรือคาร์โบไฮเดรตสายสั้น ซึ่งมีมากกว่านมวัวถึง 5 เท่า
- วิตามินและแร่ธาตุ – มีส่วนในการเจริญเติบโตของลูก เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน วิตามิน A วิตามิน B1 เป็นต้น
นอกจากนมแม่จะมีประโยชน์ต่อลูกน้อยแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อคุณแม่ด้วย โดยการให้นมลูกจะช่วยลดโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน และมะเร็งเต้านมในคุณแม่ แล้วยังช่วยในการลดน้ำหนักของคุณแม่หลังคลอดอีกด้วย
คุณแม่เริ่มปั๊มนมช่วงไหนดี
การปั๊มนมของคุณแม่สามารถเลือกช่วงเวลาที่คุณแม่สะดวกได้เลย แต่เนื่องจากเด็กอ่อนยังคงต้องการความเอาใจใส่เป็นพิเศษ เวลาในการปั๊มนมของคุณแม่จึงอาจจะไม่สะดวก แบ่งช่วงเวลาการปั๊มนมออกเป็น 3 ช่วงหลัก ๆ ดังนี้
ช่วงที่ 1 สัปดาห์แรกหลังคลอด
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลูกยังคงนอนเป็นส่วนมาก และตื่นมาเพื่อดื่มนมเท่านั้น คุณแม่สามารถเริ่มปั๊นมได้เลยหลังจากลูกกินนมเสร็จ ประมาณ 10 - 15 นาที
ช่วงที่ 2 หลังจากสัปดาห์แรก ถึง 30 - 45 วันหลังคลอด
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ลูกตื่นบ่อยขึ้น และไม่มีเวลานอนที่แน่นอน คุณแม่จึงนอนไม่เป็นเวลาด้วย สร้างความเครียดและความกดดัน หากคุณแม่เลี้ยงลูกเองอาจจะงดการปั๊มนมไปก่อน แล้วให้ลูกดื่มนมจากเต้า แล้วค่อยเริ่มปั๊มนมเมื่อเริ่มมีเวลา เพื่อเป็นนมสำรองเวลาให้คุณพ่อหรือญาติ ๆ ช่วยดูลูกขณะพักผ่อน
ช่วงที่ 3 หลังจาก 30 - 45 วันหลังคลอด
ช่วงนี้ลูกเริ่มนอนหลับได้ประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่คุณแม่สามารถปั๊มนมเพื่อเป็นสต็อกให้กับลูกได้ ควรมีที่ปั๊มที่สามารถปั๊มสองเต้าพร้อมกันได้ เพื่อความประหยัดเวลา
การปั๊มนมแม่อย่างถูกวิธี
การปั๊มนมช่วยในการผลิตน้ำนมของคุณแม่หลังคลอด
กระบวนการสร้างฮอร์โมนของแม่มีความพิเศษ เพราะยิ่งลูกดูดนม น้ำนมจะยิ่งมากขึ้น เป็นผลมาจากกระบวนการสร้างน้ำนมหลังคลอดที่มีการกระตุ้นสมองให้สร้างฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin) ให้มากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นให้กลับน้ำนมทั้งหมดผลิตน้ำนม คุณแม่จึงมีน้ำนมตลอดเวลา และหากมีการเอาน้ำนมออก ไม่ว่าจะจากการดูนมของลูก หรือการบีบออกด้วยตนเอง กระบวนการนี้ก็จะเติมน้ำนมเข้ามาเรื่อย ๆ ในทางกลับกันหากไม่มีการนำน้ำนมออก ร่างกายจะเริ่มผลิตน้ำนมน้อยลง หากลูกไม่ดูดน้ำนมเกิน 2 วัน หัวนมจะเริ่มคัด และการสร้างน้ำนมจะหยุดชะงักลง
จากกระบวนการสร้างน้ำนมดังกล่าว ทำให้คุณแม่ควรมีการปั๊มนมเก็บเอาไว้ นอกจากจะเป็นเพื่อระบายน้ำนมออกแล้ว ยังเป็นวิธีสต๊อคนมแม่ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดให้ลูกกินเวลาที่คุณแม่พักผ่อน การปั๊มนมของคุณแม่อย่างถูกต้องจะช่วยให้รีดน้ำนมออกมาได้เยอะและเกลี้ยงเต้า มีวิธีการปั๊มนม 2 วิธี ได้แก่ การปั๊มนมด้วยมือ และการปั๊มนมด้วยเครื่องปั๊มนมไฟฟ้า ดังนี้
1.) การปั๊มนมด้วยมือ
เป็นการปั๊มนมด้วยตนเอง ไม่ใช้ไฟฟ้า เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูก และพกพาง่าย แต่ใช้เวลานานในการปั๊มนม มีวิธีการปั๊มนมด้วยวิธีนี้ ดังนี้
- ล้างมือ และทำความสะอาดขวดนมให้สะอาด ด้วยต้มหรือนึ่งขวดด้วยน้ำร้อน
- นำผ้าชุบน้ำอุ่นประคบลงบนหน้าอก แล้วใช้มือคลึงเบา ๆ เพื่อกระตุ้นน้ำนม
- เริ่มขั้นตอนปั๊มนมด้วยการวางหัวแม่โป้งไว้ด้านบนหัวนม และนิ้วชี้อยู่ด้านล่างหัวนม ขยับนิ้วให้ห่างจากลานหัวนมประมาณ 1 นิ้ว
- ค่อย ๆ บีบน้ำนมจากหัวนมลงในขวดนม คุณแม่ควรค่อย ๆ ขยับตำแหน่งบีบไปเรื่อย ๆ เพื่อหาจุดที่น้ำนมไหลดีที่สุด และเพื่อลดอาการเจ็บจากการบีบจุดเดียวซ้ำ ๆ ด้วย
2.) การปั๊มนมด้วยเครื่องปั๊มนมไฟฟ้า
เป็นการปั๊มนมโดยอาศัยเครื่องทุ่นแรง ใช้แบตเตอรี่หรือไฟฟ้าเป็นตัวกระตุ้นการทำงาน ช่วยในการปั๊มน้ำนมได้เร็วและเยอะขึ้น เครื่องจะมีขนาดใหญ่และค่อนข้างหนัก ไม่เหมาะกับการพกพา มีวิธีการใช้งาน ดังนี้
- ล้างมือและขวดนมให้สะอาด
- วางกรวยไว้บนหัวนม โดยกะระยะให้หัวนมอยู่กลางกรวยพอดี
- ประคองเต้านมให้อยู่น้ำนมไหลออกมาได้สะดวก
- เปิดเครื่องปั๊มนม โดยช่วงแรกให้เปิดโหมดการปั๊มเร็วแต่อัตราการปั๊มต่ำก่อนเพื่อเค้นน้ำนมออกมา
- เมื่อน้ำนมไหลคงที่ โดยปกติใช้เวลาประมาณ 1 – 3 นาที แล้วจึงปรับเป็นระดับปั๊มช้า เพื่อให้อัตราการปั๊มสูงขึ้น น้ำนมจะไหลออกมาได้มากขึ้น
- เมื่อได้น้ำนมตามต้องการแล้ว ให้ถอดกรวย และอุปกรณ์อื่นที่ถอดได้ออกมาล้างทำความสะอาด
การปั๊มนมนี้ควรปั๊มใส่ถุงออนซ์เอาไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บ และนำออกมาเทใส่ขวดอุ่นให้เด็ก การสต๊อคนมถุงละกี่ออนซ์ควรเลือกปริมาณที่ลูกกินหมดใน 1 ครั้ง เพื่อไม่ให้มีการแช่นมซ้ำที่อาจทำให้สารอาหารลดลงไปได้ โดยปกติจะแช่นมถุงละ 2 – 4 ออนซ์ ขึ้นอยู่กับการดื่มนมของลูก
การปั๊มนมลูกควรเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ เพราะเป็นของใช้กับเด็กที่มีความบอบบางและแพ้ง่าย คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องลงทุนกับของใช้เด็กคุณภาพดี ซึ่งจริง ๆ การลงทุนเรื่องการคลอดลูกจะเริ่มตั้งแต่การฝากครรภ์ที่ต้องเลือกโรงพยาบาลที่ไว้ใจได้ มีการติดตามผลเด็กในครรภ์เป็นประจำ และลงทุนในด้านของใช้เด็ก ของใช้คุณแม่ก่อนและหลังคลอด ซึ่งค่าใช้จ่ายบางส่วนสามารถเบิกค่าคลอดบุตรประกันสังคมได้ แต่บางส่วนต้องสำรองจ่ายเอง ตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยให้การจ่ายเงินคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นก็คือ บัตรกดเงินสด สามารถกดเงินก้อนออกมาใช้จ่ายได้ก่อนในยามฉุกเฉิน เหมาะกับช่วงที่อาจมีค่าใช้จ่ายแฝงได้ตลอดเวลาอย่างค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ การรักษาตัว และของใช้แม่และเด็ก
สมัครบัตรกดเงินสด มีเงินด่วนฉุกเฉินยามจำเป็น
การเก็บรักษานมแม่
การปั๊มนมแม่เก็บไว้จะสะดวกในการเอาออกมาอุ่นใส่ขวดให้ลูกกิน
วิธีการเก็บรักษานมแม่จะต้องคำนึงถึงคุณภาพน้ำนมที่ต้องครบถ้วนเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับนมดื่มสดจากเต้า เรื่องของคุณภูมิและระยะเวลาการเก็บจึงมีความสำคัญ โดยนมแม่ควรใส่ถุงซิปล็อกหรือถุงออนซ์เก็บความเย็นให้มิดชิด แล้วนำเก็บ
ความเย็นในการเก็บนมแม่
- เก็บในอุณหภูมิห้อง ความร้อนไม่เกิน 32 องศาเซลเซียส เก็บได้ประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง
- เก็บในอุณหภูมิห้อง ความร้อนไม่เกิน 26 องศาเซลเซียส เก็บได้ประมาณ 4 – 8 ชั่วโมง
- เก็บในกระติกน้ำแข็งเก็บความเย็น และมีน้ำแข็งตลอดเวลา จะมีความเย็นประมาณ 15 องศาเซลเซียส เก็บได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง
- เก็บในช่องแช่แข็งของตู้เย็นประตูเดียว ทำความเย็นได้ -15 องศาเซลเซียส เก็บได้ประมาณ 14 วัน หรือ 2 สัปดาห์
- เก็บในช่องแช่เย็น ประตูช่องแช่แข็งแยก จะทำความเย็นประมาณ -18 องศาเซลเซียส เก็บได้ประมาณ 3 – 6 เดือน
- เก็บในช่องแช่แข็ง ตู้เย็นทำความเย็นพิเศษ มีความเย็นสูงสุด -20 องศาเซลเซียส เก็บได้ประมาณ 6 – 12 เดือน
การเก็บนมแม่ผิดวิธี
สิ่งต่อไปนี้เป็นสิ่งที่คุณแม่ห้ามทำเด็ดขาดในการเก็บรักษานมแม่
- เก็บน้ำนมไว้นานเกินในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม ทำให้นมเสียได้
- นำน้ำนมไปทำเป็นน้ำแข็งให้ลูกกิน มีโอกาสที่น้ำแข็งจะปนเปื้อนเชื้อโรคได้
- เก็บน้ำนมในภาชนะหรือถุงออนซ์ที่ไม่มีมาตรฐาน ถุงออนซ์ขาด ควรตรวจสอบถุงออนซ์ก่อนใส่น้ำนม
- แช่นมแม่ไว้ใกล้เนื้อสัตว์ เชื้อโรคจากเนื้อสัตว์สามารถเกาะติดเข้ามาในน้ำนมได้
- แช่น้ำนมในตู้เย็นที่มีระบบละลายน้ำแข็งอัตโนมัติ
- แช่ตรงช่องประตูตู้เย็น นมจะเกิดการสั่นสะเทือนและเสื่อมคุณภาพได้
หลังจากจัดเก็บน้ำนมอย่างถูกต้องแล้ว เมื่อต้องการนำนมแม่แช่แข็งออกมาใช้ ให้นำออกมาแช่ในช่องเย็นปกติเพื่อละลายน้ำแข็งก่อนประมาณ 12 – 24 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปอุ่นในน้ำร้อนให้ละลาย ควรเลี่ยงการใช้ไมโครเวฟ แต่ให้ใช้การแช่น้ำร้อนจะคงคุณค่าสารอาหารได้ดีกว่า ไม่ควรนำนมแม่ที่ละลายแล้วกลับไปแช่ฟรีซใหม่ เพราะจะทำให้นมเสียเร็วขึ้น
ช่วงแรกคลอดเป็นช่วงที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต้องให้ความใส่ใจกับลูกตลอดเวลา เพราะเด็กหลับและตื่นไม่เป็นเวลา จำเป็นต้องมีคนอยู่ดูแลตลอด เมื่อลูกอายุได้ประมาณ 2 – 3 เดือนจึงควรเริ่มฝึกลูกนอนยาว เพื่อฝึกการนอนหลับให้ลูก และยังลดความเหนื่อยของผู้ปกครองอีกด้วย ในช่วงที่ต้องดูแลลูกอ่อนมีของใช้เด็กหลายอย่างที่ต้องซื้อ เพื่อประโยชน์ในการเสริมพัฒนาการของลูก และยังมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงคุณแม่หลังคลอดอีกด้วย การมีบัตรกดเงินสดจึงเป็นตัวช่วยที่ไม่ควรมองข้าม สมัครบัตรกดเงินสดเพื่อสำรองค่าใช้จ่ายในช่วงมีลูก และยังเป็นตัวช่วยทางการเงินต่อเนื่องในการซื้อสินค้าและบริการอื่น ๆ คนที่มองหาความคุ้มค่าในการใช้จ่ายควรมีไว้สักใบ
อ้างอิงข้อมูล: โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลศิครินทร์
บัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยเงินด่วน
เบิกถอนเงินสด แบ่งผ่อนชำระได้ทุกที่ทุกเวลา