การไปทำงานต่างประเทศเป็นหนึ่งในทางเลือกน่าสนใจสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเปิดประสบการณ์ชีวิตและมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต แต่การไปทำงานต่างประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยมีขั้นตอนและกฎระเบียบมากมายที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจ และปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง แน่นอนว่าการไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายนั้นย่อมดีที่สุด เพราะจะได้รับความคุ้มครองหากพบเจอปัญหาในการทำงาน ซึ่งวันนี้ KTC มีข้อควรรู้สำหรับผู้ที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศแบบถูกกฎหมาย พร้อมรายละเอียดว่าต้องทำอย่างไรบ้างมาฝากกัน
รวม 5 วิธีไปทำงานต่างประเทศแบบถูกกฎหมาย
ปัจจุบันมีผู้สนใจไปทำงานต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเอง แต่หากยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ สามารถดูข้อมูลตามด้านล่างนี้ได้เลย
1. ไปทำงานต่างประเทศ ที่จัดส่งโดยภาครัฐ
เป็นการเดินทางไปทำงานต่างประเทศโดยกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง ซึ่งเป็นบริการที่รัฐโดยกรมการจัดหางานเป็นผู้ดำเนินการให้แก่คนที่หางาน ที่ประสงค์จะไปทำงานต่างประเทศ ทำให้คนหางานไม่ต้องเสียค่าบริการแต่เสียค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและเท่าที่จ่ายจริง เช่น ค่าทำหนังสือเดินทาง ค่าตรวจสุขภาพ ค่าวีซ่า ค่าภาษีสนามบิน เป็นต้น ทั้งนี้สามารถดูประเทศที่กรมจัดหางานกำลังเปิดรับและรายละเอียดได้ที่นี่ https://www.doe.go.th/overseas
2. ไปทำงานต่างประเทศ ที่จัดส่งโดยบริษัทจัดหางานจัดส่ง
โดยบริษัทจัดหางานจัดส่งต้องเป็นบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน การรับสมัครคนหางานและจัดส่งคนหางานไปทำงานต้องได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานก่อนจึงจะประกาศรับสมัครและจัดส่งไปทำงานได้ และเพื่อป้องกันการถูกหลอก ควรตรวจสอบข้อมูลให้แน่ใจ ดังต่อไปนี้
- บริษัทจัดหางานจัดส่งต้องแสดงใบอนุญาตการจดทะเบียนต่อกรมการจัดหางาน ไว้ในที่เปิดเผยและเห็นชัด ณ สำนักงานที่ได้รับอนุญาต
- บริษัทจัดหางานจัดส่งต้องจดทะเบียนลูกจ้างหรือตัวแทนจัดหางานที่ทำงานให้บริษัทไม่ใช้สายหรือเป็นนายหน้าเถื่อน
- เรียกเก็บค่าหัวตามกฎหมายและออกใบเสร็จรับเงินให้คนหางานไว้เป็นหลักฐานได้
- เรียกเก็บเงินล่วงหน้าได้ไม่เกิน 30 วันก่อนเดินทาง ถ้าไม่ส่งไปทำงานตามกำหนด ต้องคืนเงินให้ทันที
- บริษัทจัดหางานจัดส่งต้องส่งคนหางานไปตรวจโรค ณ สถานพยาบาลตามที่กรมการจัดหางานประกาศรายชื่อไว้
- บริษัทจัดหางานจัดส่งต้องส่งคนหางานไปทดสอบฝีมือ ณ สถานทดสอบฝีมือตามที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานอนุญาต
- บริษัทจัดหางานจัดส่งต้องพาคนงานเข้ารับการฝึกอบรมจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางานก่อนเดินทาง
- บริษัทจัดหางานจัดส่งต้องพาคนหางานเดินทางออกไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานของกรมการจัดหางาน
- คนหางานต้องสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่กรมการจัดหางานว่าบริษัทจัดหางานมีจริงหรือไม่ได้
3. ไปทำงานต่างประเทศ โดยนายจ้างในไทยพาลูกจ้างไปทำงาน
นายจ้างในประเทศไทยที่มีบริษัทในเครืออยู่ในต่างประเทศ หรือประมูลงานในต่างประเทศได้ และประสงค์จะพาลูกจ้างไปทำงานต้องขออนุญาตการเดินทางไปทำงานต่างประเทศต่อกรมการจัดหางาน หรือหากนายจ้างในประเทศไทยต้องการส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงานในต่างประเทศ ต้องแจ้งการเดินทางไปฝึกงานของลูกจ้างต่อกรมการจัดหางาน โดยยื่นแบบแจ้งการส่งลูกจ้างไปฝึกงานในต่างประเทศด้วยเช่นกัน
4. ไปทำงานต่างประเทศ ด้วยตัวเอง
นอกจากนี้คนหางานยังสามารถแจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตัวเองได้เช่นกัน โดยคนหางานจะต้องติดต่อไปทำงานกับนายจ้างในต่างประเทศด้วยตนเอง หรือคนหางานที่ทำงานครบสัญญาจ้างแล้วได้ต่อสัญญาจ้าง เมื่อเดินทางกลับมาพักผ่อนชั่วคราวในประเทศไทยและจะกลับไปทำงานอีก ต้องแจ้งต่อกรมการจัดหางานก่อนวันเดินทางไม่น้อยกว่า 15 วัน
สำหรับนักศึกษาจบใหม่ สนใจไปทำงานต่างประเทศ มีโครงการทำงานต่างประเทศในแบบระยะสั้นมากมาย
โครงการทำงานตางประเทศต่างๆ ในระยะสั้น
นอกจากการไปทำงานต่างประเทศแบบถูกกฎหมายตามข้างต้นแล้ว ยังมีโครงการอีกมากมายที่เปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่เรียนจบใหม่ได้ลองเปิดโอกาสตัวเอง ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ฝึกภาษา พร้อมกับการทำงาน โดยมีโครงการน่าสนใจ ดังนี้
โครงการออแพร์ อเมริกา (Au Pair in USA)
เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับครอบครัวอเมริกันผ่านการดูแลเด็กและทำงานบ้าน ภายใต้การควบคุมของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา (The U.S. Department of State หรือ DOS) ซึ่งบางโครงการมีทั้งทุนการศึกษารวมถึงค่าตอบแทนให้ด้วย ทั้งนี้ ข้อควรรู้คือผู้เดินทางจะพักอาศัยกับครอบครัวอุปถัมภ์ชาวอเมริกันตลอดระยะเวลาของโครงการ ประมาณ 1-2 ปี ภายใต้วีซ่าประเภท J-1 (Cultural Exchange Visitor Visa) โดยจะได้รับทุนการศึกษา 500 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพื่อเรียนวิชาที่สนใจ และค่าตอบแทนรายสัปดาห์ระหว่างเข้าร่วมโครงการออแพร์ โดยจะมีวันหยุด 1.5-2 วันต่อสัปดาห์ และพักร้อน 10 วันต่อปี มีห้องพักส่วนตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในเรื่องที่พักและอาหาร
โครงการ Work and Travel
เกิดขึ้นในประเทศไทยมากว่า 20 ปี โดยได้รับการสนับสนุนและควบคุมโดย United Department of State (DOS) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีหน้าที่ดูแลด้านโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ปัจจุบันนี้มีสิงคโปร์ที่เปิดโครงการ Work and Travel เพิ่มเติมอีกหนึ่งประเทศ โดยงานที่สามารถเลือกทำได้มีหลากหลาย ตั้งแต่งานในโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร อุทยานแห่งชาติ และสวนสนุก โดยนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการสามารถทำงานและได้ค่าตอบแทนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อัตราเฉลี่ย $8.00 - $16.00 ต่อชั่วโมง เป็นระยะเวลา 2-3 เดือน และยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวในประเทศสหรัฐอเมริกาภายหลังจบโครงการได้อีกประมาณ 30 วัน โดยสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ The U.S. Embassy & Consulate in Thailand
Work and Holiday ออสเตรเลีย (WAH)
เป็นโครงการจากความร่วมมือของรัฐบาลไทย และรัฐบาลออสเตรเลีย เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้ทั้งเรียน เที่ยว และทำงาน ได้อย่างถูกต้องในออสเตรเลียภายในระยะเวลา 1 ปี โดยแต่ละปี รัฐบาลออสเตรเลียจะให้โควต้า 500 คน ให้ผู้เดินทางมีวีซ่าที่สามารถทำงานได้นานสุดไม่เกิน 6 เดือนต่อนายจ้างแต่ละแห่ง และสามารถลงเรียนในออสเตรเลียได้ไม่เกิน 17 สัปดาห์ และท่องเที่ยวในออสเตรเลียได้ตลอดเวลา 1 ปี ทั้งนี้ ผู้เดินทางจะต้องมีคุณสมบัติ อายุระหว่าง 18-30 ปี (ไม่เกิน 31 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ยื่นวีซ่ากับทางสถานทูตฯ) สำเร็จการศึกษา ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป และมีหลักฐานแสดงทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ เช่น ผลสอบ IELTS เท่ากับ 4.5 หรือเทียบเท่า หรือผลการสอบ TOEFL iBT ระดับคะแนน 32 ขึ้นไป มีหลักฐานการเงินบัญชีออมทรัพย์ของผู้สมัครเองประมาณ 120,000 บาท และมีหนังสือรับรองคุณสมบัติ ซึ่งออกให้โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทั้งนี้ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiwahclub.com
WWOOF (วูฟ) หรือ Worldwide Opportunities on Organic Farms
เป็นองค์กรที่จับคู่อาสาสมัครกับโฮสต์ฟาร์มในประเทศต่างๆ มาตั้งแต่ปี 1971 เช่น เบลเยียม บราซิล เดนมาร์ก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร เป็นต้น โดยโครงการนี้จะแตกต่างจากโครงการอื่นๆ ข้างต้น เพราะไม่มีค่าตอบแทนเป็นตัวเงิน แต่จะได้ทำงานเพื่อแลกกับที่อยู่อาศัยและค่าอาหาร โดยมีเป้าหมายคือการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเชิงนิเวศ ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องจ่ายค่าสมัครสมาชิก และค่าตั๋วเครื่องบินเอง โดยผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ wwoof.net
การศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวให้พร้อมในทุกๆ ด้าน ทั้งเอกสารประกอบการยื่นขอวีซ่า ความคุ้มครองด้านแรงงานและสวัสดิการ ตลอดจนความพร้อมทางด้านการเงิน เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้มีหลักประกันและรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้ดี ไม่ว่าจะกำลังวางแผนทำงานหรือเดินทางไปต่างประเทศ การมีบัตรเครดิตช่วยให้การใช้จ่ายต่างประเทศสะดวกสบาย ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้จ่าย โดยเฉพาะเมื่อต้องทำธุรกรรมทางการเงินต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีสิทธิประโยชน์ครอบคลุมประกันการเดินทางให้อีกด้วย ซึ่งใครที่ยังไม่มีสามารถกดสมัครบัตรเครดิต KTC เลือกบัตรเครดิตที่ใช่ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้ที่นี่เลย
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC