Work from home เป็นหนึ่งในมาตรการ Social distancing ที่หลายๆ องค์กรทั่วโลกนำมาใช้ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่รูปแบบการทำงานแบบ Work from home ยังคงมีอยู่ เนื่องจากหลายองค์กรเล็งเห็นว่ามีข้อดีเกินคาด มาหาคำตอบกันว่า Work from home คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร งานประเภทอะไรบ้าง ?
Work from home คืออะไร ?
Work from home (WFH) คือ การทำงานที่บ้าน เป็นรูปแบบการทำงานยุคใหม่ ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นหลังเกิดวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นการทำงานจริง โดยเปลี่ยนสถานที่ทำงานจากในองค์กรหรือบริษัท มาเป็นที่บ้าน ไม่ต้องเดินทางจากที่บ้านเพื่อไปยังสถานที่ทำงาน แต่สามารถทำงานจากที่บ้านได้เลย โดยใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือสื่อสารต่างๆ เช่น แลปท็อป สมาร์ทโฟน อินเตอร์เน็ต ระบบจัดเก็บข้อมูล โปรแกรมประชุมออนไลน์ เชื่อมต่อคนทำงานของบริษัทเข้าด้วยกัน สามารถทำงาน และสื่อสารกันที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้
Work from home มีประโยชน์ต่อบริษัทและพนักงานอย่างไร ?
1. พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การ Work from home สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานที่บริษัท เนื่องจากมีข้อดีหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะความยืดหยุ่นในการทำงาน นอกจากนี้ การทำงานที่บ้านยังทำให้รู้สึกมีสมาธิในการทำงาน เนื่องจากบรรยากาศในการทำงานที่ทำให้รู้สึกสบายใจ มีความเป็นส่วนตัว ไม่โดนขัดจังหวะในระหว่างการทำงาน หรือความเหนื่อยจากการเดินทางที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ทำให้ทำงานได้ยาวนานกว่านั่งทำงานที่บริษัท ทั้งนี้ มีงานศึกษาของนักวิจัยจาก Stanford University ที่ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review พบว่า บุคลากรที่ทำงานจากที่บ้านทำงานได้สำเร็จมากกว่ากลุ่มที่ถูกบังคับใช้เข้าออฟฟิศถึง 13.5%
2. ประหยัดค่าใช้จ่ายทั้งของพนักงานและบริษัท
เวลาออกจากบ้านมักมีรายจ่ายเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง อาหาร เครื่องดื่ม ฯลฯ ฉะนั้น เมื่อ Work from home ก็ไม่ต้องเสียค่าเดินทางไป-กลับจากบ้านไปยังที่ทำงาน พนักงานสามารถเอาเวลาที่ใช้ในการเดินทางมาใช้ในการทำงานที่บ้านได้ ซึ่งทำให้ได้งานมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงค่าใช้จ่ายในส่วนของการกินอาหารที่อาจถูกลงเพราะสามารถทำกินเองได้ที่บ้าน บางบริษัทตั้งอยู่ในย่านหรูที่อาหารมีราคาแพง การทำงานที่บ้านช่วยเซฟค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ไม่น้อย ส่วนบริษัทเองก็ได้ประหยัดค่าใช้จ่ายลงในหลายส่วน เช่น การลดค่าเช่าหรือพื้นที่ในการทำงานลง การลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภค ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ฯลฯ
3. ช่วยลดความเครียดและความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
ความเครียดจากปัญหาฝนตก รถติด น้ำท่วมกะทันหัน ความแออัดของผู้คนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทาง อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพนักงาน ทำให้บางคนคนป่วยด้วยโรคที่มีสาเหตุจากความเครียด เช่น โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน นอนไม่หลับ รวมถึงกระทบต่อรายได้เพราะการเดินทางไกลหรือระหว่างการเดินทางมาที่ทำงาน อาจมีอุปสรรคและสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ทำให้ไปทำงานสายจนถูกหักเงินเดือน ทั้งยังอาจเสี่ยงจากการประสบอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง ซึ่งการ Work from home ทำให้ปัญหาดังกล่าวลดลงได้ และยังส่งผลให้สุขภาพจิตของบรรดาพนักงานดีขึ้น นอกจากนี้ การทำงานที่บ้านยังช่วยป้องกันความเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคติดต่อต่างๆ เช่น โรคโควิด-19 โรคหวัด โรคไข้หวัดใหญ่ ทั้งยังไม่ต้องเสี่ยงเจอมลภาวะรวมถึงฝุ่น PM 2.5 อีกด้วย
4. อัตราการลาออกลดลง เพราะพนักงานมีความสุขในการทำงานมากขึ้น
การไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปที่ทำงาน ทำให้พนักงานมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น ไม่ต้องเร่งรีบ มีเวลาผ่อนคลายความเครียด หากทำงานนอกบ้าน ส่วนใหญ่จะได้เจอหน้าค่าตาคนในครอบครัวก็เฉพาะช่วงเช้ากับช่วงค่ำเท่านั้น หรืออาจไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ การ Work from home ทำให้ได้ใช้เวลากับครอบครัวได้มากขึ้น เป็นโอกาสที่จะได้กระชับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว มีเวลาได้ดูแลซึ่งกันและกัน ทำให้พนักงานรู้สึกถึงการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้มากขึ้น จึงมีความสุขมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ ทำให้สามารถรักษาพนักงานให้อยู่ทำงานกับองค์กรได้ดีกว่า ลดอัตราการลาออกของพนักงาน
5. บริษัทสามารถจ้างคนเก่งจากที่ไหนก็ได้ เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง
หลายต่อหลายบริษัทมักประสบปัญหาในการหาพนักงานที่มีคุณภาพ ทั้งๆ ที่พนักงานที่ทำงานเก่งและมีความสามารถมีอยู่มากมายในตลาดแรงงาน หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ตัดโอกาสในการได้พนักงานที่มีคุณสมบัติที่บริษัทต้องการอาจเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงอย่าง สถานที่ห่างไกลของบริษัท ทำให้คนทำงานเก่งและมีความสามารถ ไม่สะดวกในการเดินทางไกลเพื่อมาทำงานที่บริษัท แต่หากมีการ Work from home เป็นทางเลือกให้พนักงาน ก็จะช่วยดึงดูดคนทำงานเก่งและมีความสามารถให้เข้ามาร่วมงานกับบริษัท ทำให้บริษัทสามารถจ้างคนเก่งจากที่ไหนก็ได้มาร่วมงาน เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง
Work from home เพื่อประสิทธิภาพที่ดี ควรกำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจน ตรงกับเวลาเข้าทำงานจริง
Work from home อย่างไรให้สามารถคงประสิทธิภาพการทำงานได้ ?
1. จัดพื้นที่ทำงานให้เป็นสัดส่วน เตรียมอุปกรณ์ในการทำงานให้พร้อม
อย่าให้บรรยากาศสุดชิลล์ในบ้าน ทำให้เราอยากพักผ่อนและหาเรื่องอู้งาน ต้องสร้างบรรยากาศในการทำงาน กล่าวคือ จัดพื้นที่ทำงานให้เป็นสัดส่วน จัดโต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เอื้อต่อการทำงานมากที่สุด เตรียมอุปกรณ์ในการทำงานให้พร้อม สามารถหยิบใช้ได้อย่างสะดวก เครื่องมือและโปรแกรมในการติดต่อสื่อสารและทำงานต้องพร้อมใช้งานได้อย่างดี การสร้างบรรยากาศให้เหมือนกับที่ทำงานเป็นไปเพื่อบอกให้ร่างกายรู้ว่าเราต้องทำงาน และเพื่อให้มีสมาธิในการทำงานมากที่สุด สามารถโฟกัสกับงานได้เต็มที่ ควรนั่งทำงานในห้องส่วนตัว หลีกเลี่ยงการนั่งทำงานในบริเวณที่มีคนอื่นอยู่ เช่น ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น เพื่อไม่ให้มีสิ่งอื่นมารบกวนหรือดึงดูดความสนใจ
2. ทำงานตามเวลากิจวัตรปกติ กำหนดเวลาในการทำงานอย่างชัดเจน
กำหนดเวลาในการทำงานอย่างชัดเจน แนะนำให้ทำงานตามเวลาเดิมที่เคยทำในออฟฟิศก่อนช่วง Work From home หรือตามเวลาทำการของบริษัทเอกชนส่วนใหญ่ เช่น 8.00-17.00 น. หรือ 9.00-18.00 น. การตั้งค่าชั่วโมงทำงานที่สอดคล้องกัน รวมถึงกำหนดขอบเขตของเวลาใหัชัดเจน (ทั้งเวลาทำงานและเวลาพัก) จะทำให้เราไม่ทำงานมากหรือน้อยจนเกินไป ทั้งยังมีวินัยและมีความรับผิดชอบมากขึ้น สามารถแพลนงานได้ง่ายและชัดเจน จะทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่จะทำงานให้เสร็จทันเวลา รวมถึงได้งานที่มีคุณภาพ และทำให้ผู้ที่ต้องการติดต่อเรื่องงานสามารถติดต่อสื่อสารกับเราได้ง่าย เพราะมีช่วงเวลาการทำงานเดียวกัน จึงสามารถดำเนินงานร่วมกันไปอย่างมีประสิทธิภาพแม้จะต้องสื่อสารทางไกล
3. ตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน ปฏิบัติตามแผนอย่างมีวินัยและเคร่งครัด
ต้องมีการวางแผนและปฏิบัติตามแผนอย่างมีวินัยและเคร่งครัด การวางแผนการทำงานจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีระบบและเป็นระเบียบ มีการเช็กลิสต์การทำงาน เขียนรายการของงานทั้งหมดออกมาให้ชัดเจนว่า วันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง โดยเรียงลำดับตามความสำคัญและเดดไลน์ จัดลำดับความสำคัญของงานให้เป็น และกำหนด Deadline การส่งงานของตัวเองให้ชัดเจน พยายามทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่ตั้งเอาไว้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องทำงานเกินเวลาไปเรื่อยๆ ถ้ามีเวลาว่างระหว่างวันให้บันทึกว่าช่วงไหนเราทำอะไรบ้าง เพื่อจะได้กลับมาตรวจสอบได้ว่าใช้เวลาอย่างมีคุณภาพหรือไม่ และควรปรับอย่างไร ทั้งนี้ ต้องอย่าลืมจัดสรรเวลาในการพักด้วย
4. ตัดสิ่งรบกวนรอบตัว มีสมาธิ จดจ่อกับการทำงาน
เมื่อถึงเวลางาน ให้เริ่มงานอย่างตั้งใจ จดจ่อกับงาน ลดการใช้สื่อโซเชียลที่ไม่เกี่ยวกับงาน เช่น ไม่เปิด Facebook Youtube ในเวลางาน ไม่หยิบโทรศัพท์มือถือมาดูไลน์บ่อยๆ (เปิดแจ้งเตือนเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวกับงานเท่านั้น) เมื่อลดการใช้สื่อโซเชียลที่ไม่จำเป็น จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของสิ่งรบกวนในบ้าน นอกจากจัดสรรพื้นที่ทำงานให้เป็นสัดส่วนแล้ว อย่าลืมทำความเข้าใจกับคนที่บ้านว่า Work from home คือการทำงานรูปแบบหนึ่งแต่เปลี่ยนจากทำที่ออฟฟิศมาทำที่บ้าน ดังนั้น จึงต้องการสมาธิเพื่อให้งานออกมาดี บอกคนในบ้านให้ทราบถึงเวลาทำงาน-เลิกทำงานให้ชัดเจน เพื่อลดการรบกวนซึ่งบั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานของเรา รวมถึงป้องกันการเกิดปัญหาในครอบครัวจากความไม่เข้าใจ
5. แบ่งเวลาพักเป็นระยะๆ
ควรตั้งเวลาเพื่อแจ้งเตือนให้หยุดพักทุกๆ 50-60 นาที โดยการลุกมายืดเส้นยืดสาย พักสายตา ดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ เพราะร่างกายเราสามารถจดจ่ออย่างมีประสิทธิภาพได้เต็มที่ประมาณ 50 นาที หากทำงานจนเกินพอดีอาจทำให้สมองล้า ส่งผลให้งานที่ออกมาไม่มีคุณภาพ แถมยังทำงานได้ไม่ได้เต็มที่อีกด้วย จึงควรให้ร่างกายได้รับการพักสั้นๆ เพื่อผ่อนคลายและพร้อมสำหรับการจดจ่อในชั่วโมงถัดไป นอกจากนี้ การนั่งมองจอคอมพิวเตอร์ทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานๆ อาจทำให้มีอาการไม่สบายตัวต่างๆ จนนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น ตาล้า ตาพร่ามัว ตาแห้ง ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหลัง ปวดเอว ปวดข้อมือ ปวดศีรษะ นอกจากนี้อย่าลืมพักทานข้าวให้ตรงเวลา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน
6. สื่อสารกับผู้ร่วมงานให้มากขึ้นและชัดเจนกว่าปกติ
ต้องเตรียมพร้อมสื่อสารกับผู้ร่วมงานให้มากขึ้นและชัดเจนกว่าปกติ ดังนั้น การเลือกใช้แอปพลิเคชั่นหรือโปรแกรมในการสื่อสารและทำงานร่วมกับคนในทีม รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เป็นสิ่งจำเป็น ในกรณีที่จะพูดคุยกับหัวหน้า/ลูกน้อง/คนในทีม หรือจะขอประชุมในเวลางาน แนะนำให้ส่งข้อความไปนัดเวลาไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้รบกวนขณะผู้อื่นทำงาน รวมถึงให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถจัดสรรเวลาและมีเวลาเตรียมความพร้อม ไม่ควรเรียกประชุมกะทันหัน (ยกเว้นเรื่องด่วนมากๆ) เพราะเป็นการขัดจังหวะการทำงานของผู้อื่น นอกจากนี้ ควรสื่อสารกับผู้ร่วมงานให้ชัดเจนในเรื่องเวลาการทำงาน เช่น ทำงานเวลาไหน หยุดพักเวลาไหนบ้าง เพื่อทำให้กระบวนการทำงานดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ถูกรบกวนนอกเวลางาน
7. Work-Life Balance รักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
ข้อจำกัดของการ Work From home คือพื้นที่ทำงานกับพื้นที่ส่วนตัวจะปะปนอยู่รวมกัน ทำให้บางคนเกิดความเครียดจากการที่ไม่สามารถปล่อยวางเรื่องงานได้ รู้สึกว่าตัวเองต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ไม่สามารถบาลานซ์เรื่องงานและเรื่องส่วนตัวได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว หลังจากชั่วโมงงานแล้ว ให้เก็บคอมพิวเตอร์อุปกรณ์การทำงาน รวมทั้งสิ่งที่ทำให้นึกถึงงานให้พ้นจากสายตา แล้วไปทำกิจกรรมอย่างอื่น เช่น เล่นกับลูก ออกกำลังกาย ดูหนัง พยายามรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ทำงานอย่างเต็มที่แต่ต้องไม่ลืมให้ความสำคัญกับสุขภาพและการดูแลตัวเอง รวมถึงคนในครอบครัว ขีดเส้นเวลาทำงานให้ชัดเจน ควรล็อกเวลาพักผ่อนและเวลานอนให้ตัวเอง
ทำงานสายอาชีพ ทางด้านคอมพิวเตอร์ ทำงาน Work from home ได้ เช่น Web Developer, Programmer
งานอะไร Work from home ได้บ้าง ?
แม้ Work from home จะไม่สามารถทำได้กับทุกอาชีพ แต่ก็มีหลายอาชีพหลายงานที่เหมาะสำหรับการทำงานในรูปแบบ Work from home นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละองค์กร โดยบริษัทจะกำหนดว่าวันไหนบ้างที่ต้องเข้าออฟฟิศ และวันไหนที่จะเป็นวัน Work from home เช่น วันจันทร์-พุธ เข้าออฟฟิศ และวันพฤหัสบดี-ศุกร์ ทำงานที่บ้าน หรือบางบริษัทก็ใช้วิธีสลับทีมกันเข้าออฟฟิศ หรือบางบริษัทสามารถ Work from home เฉพาะบางตำแหน่งเท่านั้น และนี่งานหรืออาชีพยอดนิยมที่สามารถ Work from home ได้
1. ผู้พัฒนาเว็บไซต์ (Web Developer)
มีหน้าที่ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำการเขียนโค้ดเพื่อสร้างฐานข้อมูล และโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ รวมไปถึงคอยดูแล พัฒนาระบบต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งาน
2. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)
หน้าที่หลักของโปรแกรมเมอร์ คือ การออกแบบ เขียนโค้ดสำหรับสร้าง พัฒนา หรือแก้ไขโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ ให้โปรแกรมหรือระบบคอมพิวเตอร์ทำงานได้ตามชุดคำสั่งนั้น เป็นตำแหน่งที่จำเป็นมากๆ สำหรับธุรกิจในปัจจุบัน
3. ผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistance)
ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยลูกค้าในด้านการบริหารจัดการ ด้านเทคนิค หรือการสร้างสรรค์บริการต่างๆ อาทิ บริการด้านสุขภาพ กฎหมาย การเงิน เป็นต้น ซึ่งอาชีพผู้ช่วยเสมือนสามารถทำงานได้ในหลากหลายสาขาอาชีพ
4. นักวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analyst)
มีหน้าที่หลักในการรวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูล (data) ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การขาย การเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลลูกค้า นำมาสรุปเชิงลึก ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ
5. นักแปลภาษา (Translator)
ทำหน้าที่ในการแปลให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เนื้อความครบถ้วน โดยไม่เปลี่ยนเนื้อความของผู้พูดหรือผู้เขียน ซึ่งการแปลอาจเป็นการแปลผ่านคำพูดของผู้คนจากต่างภาษา หรือเป็นการแปลข้อเขียน บทความต่างๆ
6. นักเขียนบทความ (Content Writer)
ใครมีทักษะการเขียนและการใช้ภาษาที่ดี รวมถึงมีทักษะในการค้นคว้าหาข้อมูล ขยันอ่าน ขยันหาความรู้ สามารถเขียนงานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะส่งหัวข้ออะไรมาก็ถ่ายทอดออกมาเป็นบทความที่อ่านเพลินได้
7. นักตัดต่อวิดีโอ (Video Editor)
ทำหน้าที่นำวิดีโอและเสียงที่เป็นฟุตเทจดิบ กราฟิก ดนตรี เพลง เอฟเฟ็กต์เสียง และเอฟเฟ็กต์ภาพ มาร้อยเรียงและตัดต่อเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นวิดีโอเวอร์ชันเสร็จสมบูรณ์ที่ตอบโจทย์ตามความต้องการของลูกค้า
8. ครู/ ติวเตอร์ (Teacher/ Tutor)
ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับนักเรียน ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเปิดโอกาสให้นักเรียนและครูสามารถทำการเรียนการสอนระยะไกลได้มากขึ้น เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สามารถ Work from home ได้
9. ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อโซเชียล (Social media specialist)
ทำหน้าที่ดูแลสื่อโซเชียลต่างๆ เช่น Facebook, YouTube, Instagram, TikTok หรือเว็บไซต์ ให้มีคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องลงในเวลาที่วางแผนไว้ โดยมีเป้าหมายที่หลากหลาย เช่น เพื่อโปรโมทสินค้าบนสื่อโซเชียล
10. นักออกแบบกราฟิก (Graphic Designer)
มีหน้าที่ออกแบบรูปภาพและตัวอักษรให้ดูสวยงาม สามารถสื่อสารความหมาย ผ่านภาพและตัวอักษรให้ผู้ชมเข้าใจได้อย่างชัดเจน เห็นแล้วเข้าใจได้ว่ารูปภาพจะสื่อความหมายอะไร เช่น ภาพคำเตือน ชักชวน โปรโมท
จะเห็นได้ว่า Work from home เป็นรูปแบบการทำงานที่มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้ประหยัดเงินในการเดินทาง ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง จึงช่วยลดความเครียด มีเวลาทำอย่างอื่นเพิ่มเติมมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ความสุข
สำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC หากต้องการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการทำงาน Work from home เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต มีโปรโมชั่น ส่วนลด อีกทั้งการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกๆ 25 บาท รับ 1 คะแนน KTC FOREVER สามารถนำคะแนนไปแลกรับส่วนลด และสิทธิพิเศษมากมาย สนใจสมัครบัตรเครดิต KTC สมัครออนไลน์ได้เลย ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ พิเศษกว่าใคร ได้ทุกวัน
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC