เมื่อเราต้องเผชิญกับรอยสิว รอยดำ และหลุมสิวที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหาย ปัญหาผิวเหล่านี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์ภายนอก แต่ยังทำให้เราหมดความมั่นใจได้ง่ายๆ อีกด้วย ซึ่งสาเหตุของรอยสิว รอยดำ และหลุมสิวนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่พันธุกรรม ฮอร์โมน ความเครียด ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลผิว การรักษาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีวิธีการเดียวที่เหมาะกับทุกคน
วันนี้ KTC จะพาคุณไปสำรวจวิธีการต่างๆ ในการจัดการกับปัญหาผิวที่ดูเหมือนจะไม่มีวันหายอย่างรอยสิว รอยดำ หลุมสิว ทั้งการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ไปจนถึงการทำหัตถการต่างๆ เพื่อสุขภาพผิวที่ดียิ่งขึ้น ฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะกำลังเผชิญกับปัญหาผิวมานานแค่ไหน บอกเลยว่าผิวสวยสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน
รอยสิวคืออะไร
รอยสิว (Post – Inflammatory Hyperpigmentation) คือ ร่องรอยที่เกิดขึ้นบนผิวหนังหลังจากที่สิวหายแล้ว ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิวหรือพื้นผิว รอยสิวเกิดขึ้นเมื่อกระบวนการอักเสบและการหายของสิวส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นได้
รอยสิวสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ทั้งรอยแดง รอยดำ และหลุมสิว
ประเภทของรอยสิว
รอยสิวสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
- รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema - PIE) รอยสีแดงหรือชมพูที่เกิดขึ้นหลังจากสิวหาย โดยสาเหตุมักเกิดจากการอักเสบที่ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ทำให้เห็นสีแดงจากเส้นเลือดฝอยที่ใต้ผิวหนังเป็นจุดสีแดงๆ
- รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation - PIH) เป็นลักษณะรอยสีน้ำตาลหรือดำที่เกิดขึ้นหลังการอักเสบของสิว ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสีผลิตเมลานินมากเกินไปเพื่อปกป้องผิวจากการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นจุดดำคล้ำที่บริเวณชั้นนอกสุดของผิวหนัง หรือชั้นหนังกำพร้า แต่นอกจากสิวแล้วนั้น รอยดำก็ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้รอยดำจากสิวเข้มขึ้น หรือคล้ำขึ้นอีก อย่างแสงแดด ที่กระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินผลิตมากขึ้นผิดปกติได้อีกด้วย
- หลุมสิว (Atrophic Acne Scars) รอยบุ๋มหรือหลุมบนผิวหนัง ที่เกิดจากการสูญเสียเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังระหว่างกระบวนการหายของสิว ซึ่งเป็นปัญหาผิวที่น่าหนักใจมากที่สุด ด้วยสาเหตุที่เกิดจากสิวที่อักเสบมากหรือสิวหัวช้าง ที่ขาดการรักษาที่ถูกต้องทำให้ผิวหนังโดยรอบเกิดเป็น “โพรงหนอง” ส่งผลให้เกิดการยุบตัวของผิวและคอลลาเจนผิดปกติ จนเกิดเป็นรอยแผลเป็นมีพังผืดยึดติด (Fibrosis) อันนำมาสู่ “หลุมสิว” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
- Rolling Scars หรือหลุมสิวแบบคลื่น พบได้ทั่วไป โดยเกิดจากเวลาที่เป็นสิวแล้วเราไปแคะ แกะ เกา ทำให้เกิดหลุมสิวลักษณะตื้นๆ
- Boxcar Scars หลุมสิวแบบกล่อง สามารถมองเห็นหลุมสิวประเภทนี้ได้ชัดกว่าหลุมสิวแบบคลื่น อีกทั้งยังลึกมากกว่า โดยมีขนาดประมาณ 3-5 มิลลิเมตร
- Icepick Scars เป็นหลุมสิวแบบเล็ก ลึก การรักษาจึงค่อนข้างยากกว่าหลุมสิวแบบอื่นๆ ด้วยลักษณะที่เป็นหลุมลึกและปากแคบ
รอยสิวที่หลงเหลือสามารถหาตัวช่วยที่ทำให้รอยจางลงเร็วขึ้นได้
รอยสิว หลุมสิว รักษายังไง ไม่หายสักทีทำอย่างไรได้บ้าง
แน่นอนว่าปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิว เป็นปัญหากวนใจทุกครั้งที่ส่องกระจก ด้วยวิธีการรักษาค่อนข้างใช้เวลา ซึ่งร่องรอยที่หลงเหลือไว้นี้ เป็นเรื่องยากที่จะปล่อยให้รอยนั้นจางลงเองตามธรรมชาติ โดยคุณสามารถหาตัวช่วยที่ทำให้รอยนั้นจางลงเร็วขึ้นได้ตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งปัจจุบันก็มีหลายวิธีที่เป็นตัวช่วย ได้แก่
- การทายาลดรอย : เป็นวิธีที่ใช้ระยะเวลาและความสม่ำเสมอ แต่ก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดเช่นกัน ทั้งนี้ก็มีข้อควรระวังในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ด้วยการทายาลดรอยนั้นจะมีความแตกต่างระหว่างยาทาผิวบนใบหน้าและผิวที่ตัว เนื่องจากผิวบนใบหน้าจะมีความละเอียด บอบบาง แพ้ง่าย เป็นสิวง่าย ดังนั้น ยาทาลดรอยบนใบหน้า จึงควรเลือกที่ส่วนประกอบที่มีความปลอดภัยสูง อาทิ เป็นสูตรที่ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) หรือ เป็นสูตรที่มีโอกาสเกิดอาการแพ้ต่ำ (Hypoallergenic)
- การทำทรีตเมนต์ : การทำทรีตเมนต์บางอย่าง ก็สามารถช่วยลดรอยดำให้หายเร็วขึ้นได้เช่นกัน อาทิ การทำไอออนโต (Ionto) หรือคลื่นกระแสไฟฟ้าที่ช่วยผลักวิตามินเข้าผิว ซึ่งวิธีการต่างๆ นี้ จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและทำให้รอยแดง รอยดำดูจางลง
- การทำเลเซอร์ : สำหรับผู้ที่มีปัญหาเยอะ การรักษาด้วยเลเซอร์ E-Lase (Pulsed Dye Laser) หรือ Vbeam นับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งเลเซอร์ดังกล่าวนี้คือ เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 595 นาโนเมตร ซึ่งมีความจำเพาะเจาะจงลงต่อเส้นเลือด ช่วยทำให้รอยแดงคล้ำจากสิวจะลดเลือนรวดเร็วขึ้น ทั้งยังใช้เวลาในการทำเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น และหลังการรักษาประมาณ 1 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่ารอยแดงจางลงประมาณ 20% (ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล) นอกจากนี้ หลังการรักษาสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันและแต่งหน้าได้ตามปกติอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากคุณมีปัญหารอยดำ รอยแดงจากสิวอักเสบมาก การรักษาร่วมกันทั้ง 3 วิธี จะเห็นผลดีกว่าการเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง
- การทำ Skin Remodeling : สำหรับหลุมสิว คงต้องบอกว่าเป็นปัญหาที่อาจจะรักษาด้วยการทายาไม่หาย แต่ทั้งนี้ ปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีทางความงามที่มาแก้ปัญหานี้ได้อย่าง เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของกระบวนการ Skin Remodeling ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุแบบ Fractional Radio-Frequency ส่งพลังงานผ่าน Micro Needle เจาะลึกลงไปใต้ผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และทำให้การจัดเรียงตัวของคอลลาเจนเดิมดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยรักษาหลุมสิว กระชับรูขุมขน และฟื้นฟูโครงสร้างของผิวให้มีความแข็งแรงขึ้นอีกด้วย
รอยสิว ป้องกันอย่างไร
วิธีต่อไปนี้คือวิธีการป้องกันรอยสิวที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นกระบวนการหรือไลฟ์สไตล์ที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันรอยสิว แต่ยังช่วยให้ผิวสวยสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้นในระยะยาวอีกด้วย
- รักษาสิวอย่างถูกวิธีและทันท่วงที: เพราะการรักษาสิวตั้งแต่เริ่มเกิด จะลดโอกาสการเกิดรอยแดงหรือรอยดำ โดยคุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่เหมาะสม เช่น ที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid หรือ Benzoyl Peroxide หลีกเลี่ยงการแกะและบีบสิว และหากมีปัญหาสิวรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยสิวในระยะยาว
- ใช้ครีมกันแดดทุกวันเป็นประจำ: อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าแสงแดดสามารถทำให้รอยดำเข้มขึ้น และชะลอการหายของรอยแดงได้ ฉะนั้น คุณควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB พร้อมประเภทครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว เพื่อไม่ให้เกิดอุดตันและเป็นสิว
- รักษาความชุ่มชื้นให้ผิว: เพราะผิวที่ชุ่มชื้นจะฟื้นฟูตัวเองได้ดีกว่า พร้อมลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็น ฉะนั้น คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เหมาะกับสภาพผิวเป็นประจำ พร้อมกันนั้น ก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมช่วยป้องกันรอยสิว อาทิ วิตามินซี ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดการสร้างเม็ดสีผิว Niacinamide หรือวิตามินบี 3 ที่ช่วยลดการอักเสบและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และ Alpha-arbutin ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน เป็นต้น
- ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างอ่อนโยน: ล้างทำความสะอาดผิวหน้า เพื่อป้องกันการเกิดสิว โดยล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมที่ระคายเคือง หลีกเลี่ยงการขัดหรือถูผิวแรงเกินไป
- จัดการความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ: ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สามารถกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิวได้ ฉะนั้น การนอนหลับที่เพียงพอ จะช่วยให้ผิวได้ฟื้นฟูตัวเอง รวมไปถึงการทำสมาธิ และการออกกำลังกาย
ขอบคุณข้อมูลจาก:
- https://www.pornkasemclinic.com/knowledge
- https://www.pornkasemclinic.com/treatment-detail/?code=T000006&width=1440
- https://www.pornkasemclinic.com/treatment-detail/?code=T000034&width=1440
การจัดการกับรอยสิว รอยดำ และหลุมสิวเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่มีวิธีการรักษาที่ให้ผลลัพธ์ทันที แต่หากคุณมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็สามารถเลือกวิธีการรักษา ดูแลผิว รวมไปถึงการทำทรีตเมนต์หรือการทำหัตถการที่คลินิกความงาม โดยรับการปรึกษาจากแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ก็จะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสภาพผิวของคุณได้ และแน่นอนว่าสมาชิกบัตรเครดิต KTC มีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการดูแลผิวที่พรเกษมคลินิก คลินิกความงามดูแลผิวชั้นนำ พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษ
แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 12.5% ที่ พรเกษม คลินิก เมื่อชำระเต็มจำนวน กับบัตรเครดิต KTC
สิทธิประโยชน์ที่ 1:
โปรแกรม E-lase Plus ลดเลือนรอยสิวแบบจัดเต็ม ราคาพิเศษ 2,200 บาท (ราคาปกติ 2,600 บาท)
โปรแกรม Pico Scar รักษาหลุมสิวผิวเรียบเนียนบริเวณแก้ม 2 ข้าง ราคาพิเศษ 5,000 บาท (ราคาปกติ 6,000 บาท)
- ระยะเวลาโปรโมชั่น : 1 ก.ค. 67 - 31 ธ.ค. 67
สิทธิประโยชน์ที่ 2:
รับเครดิตเงินคืน 0.5% ตั้งแต่บาทแรก เมื่อใช้จ่ายเต็มจำนวน
วิธีการรับสิทธิ์:
ส่ง SMS พิมพ์ BTC เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 16 หลัก ส่งมาที่ 061 384 5000 (ค่าส่งข้อความขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ) หรือลงทะเบียนฟรี ผ่านเว็บไซต์ www.ktc.co.th/beautymax โดยสมาชิกจะต้องได้รับข้อความตอบกลับยืนยันการลงทะเบียนสำเร็จ จึงจะถือว่าสมบูรณ์ครบตามเงื่อนไข (ลงทะเบียนภายในวันที่มียอดใช้จ่าย ครั้งเดียว ต่อ 1 หมายเลขบัตร สามารถเข้าร่วมได้ตลอดรายการ)
- ระยะเวลาโปรโมชั่น : 1 ก.ค. 67 - 31 ธ.ค. 67
สนใจโปรโมชั่นดีๆ แบบนี้ กดสมัครบัตรเครดิต KTC ผ่านช่องทางออนไลน์ได้เลย
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC