เทคนิคการทำงานบนพื้นฐานสุขภาพที่ดี
การทำงานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ดังคำกล่าวที่ว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” เมื่อเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตหลายคนจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้มีเงินเพียงพอในการใช้จ่าย รวมถึงวางแผนการเงิน รู้จักเก็บออมและลงทุนเพื่อให้มีเงินงอกเงยเพียงพอต่อการใช้จ่ายยามเกษียณ แต่การทำงานหนักแม้จะได้เงินมากขึ้น กลับแลกมาด้วยปัญหาสุขภาพจนถึงขั้นมีการรณรงค์ให้ผู้คนหันมาสนใจเรื่องการจัดการเวลางานและเวลาส่วนตัวให้สมดุล หรือ Work Life Balance มากขึ้น
ข้อเสียของการทำงานหนักเกินไป
การทำงานหนักส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ เพราะร่างกายมนุษย์มีข้อจำกัดในตัวเอง คนที่ทำงานหนักมาก ๆ จึงมีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น
- โรคปลอกประสาทตาอักเสบ
เกิดจากการทำงานหนักของดวงตา มักมาจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว มองไม่ชัด และปวดบริเวณเบ้าตา
- โรคเครียดลงกระเพาะ
เกิดจากความเครียดที่ส่งผลให้ฮอร์โมนเกิดความแปรปรวนและเส้นเลือดบริเวณกระเพาะอาหารบีบตัวจนรู้สึกจุกแน่นและปวดแสบบริเวณกระเพาะอาหาร
- โรคออฟฟิศซินโดรม
เกิดจากการนั่งทำงานท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ ในช่วง Work From Home จนเส้นประสาทยึดตึง ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายแบบเรื้อรัง โดยเฉพาะไหล่และหลัง
- โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
เกิดจากการอั้นปัสสาวสะนาน ๆ มักเกิดในช่วงที่งานยุ่งจนลืมเข้าห้องน้ำ ทำให้เกิดอาการฉี่กระปริบกระปรอย ปวดท้องถ่ายเบาตลอดเวลา
- โรคหัวใจ
เกิดจากปัญหาสุขภาพหลายอย่างรวมกัน เช่น ความเครียดสะสม การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง พักผ่อนน้อย และไม่ออกกำลังกาย ซึ่งพนักงานออฟฟิศหลายคนประสบปัญหานี้
ปัญหาสุขภาพเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่กลุ่มคนวัยทำงานมีโอกาสเป็นได้ทุกโรคจากความเครียดและการละเลยสุขภาพของตนเอง ทำให้มีการรณรงค์ให้มีการ Work Life Balance โดยการหยุดพักจริง ๆ ควบคู่ไปกับการแบ่งเวลาทำงานอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาสุขภาพที่ดีให้อยู่ไปอีกนาน นอกจากนั้นยังมีการแนะนำให้มนุษย์เงินเดือนเลือกทำประกันภัยสุขภาพติดตัวไว้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วย อีกทั้งปัจจุบันสามารถชำระค่าเบี้ยประกันภัยง่ายผ่านบัตรเครดิต เพิ่มความสะดวกในเรื่องสุขภาพมากขึ้นอีกระดับ
จ่ายเบี้ยประกันภัยสุขภาพผ่านบัตรเครดิต หมดห่วงเมื่อเจ็บป่วย
ทฤษฎีที่สนับสนุน Work Life Balance
การทำงานร่วมกันช่วยลดความกดดันในการทำงาน
Work Life Balance คือ การรู้จักแบ่งเวลางานและเวลาชีวิตให้สมดุลกัน มีจุดประสงค์หลักเพื่อรักษาสุขภาพกายและใจให้แข็งแรง โดย Work Life Balance ในช่วงโควิดมีความสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่คนเครียดง่ายจากการอยู่บ้านเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะ Work from Home หรือกักตัวแบบ Home Isolation การปฏิบัติตามแนวคิด Work Life Balance จึงมีส่วนช่วยบำบัดความเครียด มีทฤษฎีที่ส่งเสริมแนวคิดนี้ เช่น
- ทางสายกลางในพุทธศาสนา
คำสอนเรื่องมัชฌิมาปฏิปทาเป็นหัวใจของพุทธศาสนา กล่าวถึงการปฏิบัติสิ่งใดที่ไม่สุดโต่งจนเกินไป เปรียบเสมือนสายพิณที่หากตึงไปสายก็ขาด หากหย่อนก็ดีดเป็นเพลงไม่ได้ ต้องปรับสายให้พอดี การบริหารเวลางานและเวลาอื่น ๆ ให้พอดีเหมือนสายพิณจึงเข้ากับแนวทางปฏิบัติแบบ Work Life Balance
- ทฤษฎีหยินหยาง
หยินหยางเป็นความเชื่อของลัทธิเต๋า กล่าวถึงความสมดุลของโลกมีตัวแทนเป็นด้านคู่ที่ตรงข้ามกัน สัญลักษณ์ใช้แทนสีขาวและและสีดำซึ่งเป็นคู่สีตรงข้ามกัน บ้างก็ว่าเป็นพระอาทิตย์ที่ร้อนแรงและพระจันทร์ที่เยือกเย็น หยินหยางจะเชื่อเรื่องความสัมพันธ์ที่แม้ตรงข้ามกันก็ต้องอยู่คู่กัน เช่นเดียวกับการทำงานและการพักผ่อนที่เหมือนจะตรงข้ามกันแต่ก็ต้องจัดสรรให้อยู่ร่วมกันให้ได้ หากทำงานอย่างเดียวก็หมดเวลาพักผ่อน และหากพักผ่อนอย่างเดียวก็หมดเวลาทำงาน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพหากไม่จัดสรรเวลา
หลายคนสงสัยว่า Work Life Balance ทำยังไงให้ได้ผล วิธีการง่าย ๆ เพียงหมั่นสำรวจอารมณ์ตัวเอง หากรู้สึกเครียดเกินไปหรือไม่มีความสุขในการทำงาน ควรเริ่มจัดสรรเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง ห้ามปล่อยจนตัวเองหมดไฟในการทำงาน เพราะอาจส่งผลต่อการทำงานในอนาคต
แนวทางการจัดสรรเวลาแบบ Work Life Balance
Work Life Balance เป็นแนวทางการจัดการเวลาให้เหมาะสม สามารถปฏิบัติตามได้ดังนี้
- รู้ขีดจำกัดในการทำงานของตัวเอง
การรู้ขีดจำกัดในการทำงานของตัวเองช่วยให้วางแผนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขีดจำกัดการทำงานของแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนสามารถนั่งทำงานหลายชั่วโมงติดต่อกันได้โดยไม่รู้สึกเครียด ขณะที่บางคนต้องทำงานสลับกับหยุดพักตลอดทั้งวันเพื่อลดทอนความกดดันในงาน การรู้จักขีดจำกัดในส่วนนี้จะช่วยให้สามารถจัดสรรงานในแต่ละวันได้อย่างเหมาะสม
- หางานอดิเรกที่เพิ่มความผ่อนคลาย
งานอดิเรกช่วยเพิ่มความผ่อนคลาย คนทำงานทุกคนควรหาสิ่งที่ตนเองสนใจและสามารถทำเพื่อลดความเครียดในงานได้ เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ วาดรูป เมื่อมีงานอดิเรกของตัวเองแล้วจะทำให้หาเวลาไปทำงานอดิเรกนั้นได้มากกว่าการทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับงาน
- แยกเวลางานและเวลาส่วนตัวออกจากกัน
การแบ่งเวลาทั้ง 2 ส่วนให้ชัดเจนช่วยให้การแบ่งสมดุลเวลาง่ายดายมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเวลางานห้ามพัก หรือเวลาพักห้ามทำงานโดยเด็ดขาด แต่หมายถึงเวลาพักให้ทำงานน้อยลงและไม่ใช่งานที่เครียดจนเกินไป ขณะที่เวลาทำงานก็ไม่ควรพักนานจนเกินไปจนไม่มีอารมณ์จะทำงานต่อ
- ใช้เวลากับตัวเองหรือครอบครัวอยู่เสมอ
การใช้เวลาอยู่กับสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่งานจะช่วยลดความตึงเครียดลงได้ ควรใช้เวลาอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อนฝูงเพื่อลดความฟุ้งซ่านและวกกลับไปคิดเรื่องงาน แต่บางคนอาจจะชอบอยู่คนเดียวมากกว่า ควรเลือกวิธีการที่ช่วยให้ตัวเองไม่คิดเรื่องงานตลอดทั้งวัน
การแบ่งสมดุลในชีวิตทั้งเรื่อง Work และ Life ให้มีความ Balance กันเป็นเคล็ดลับที่ช่วยให้สุขภาพดีอย่างยั่งยืน เพราะคนส่วนใหญ่เจ็บป่วยเนื่องมาจากการทำงานหนักจนเกินไป คนทำงานจึงควรมีวิธีผ่อนคลายความเครียดของตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย หลายคนอาจเลือกคลายเครียดด้วยการช้อปปิ้งที่สามารถใช้บัตรเครดิตรูดซื้อและผ่อนชำระจากร้านค้าที่ร่วมรายการเพื่อความคุ้มค่าในการซื้อ หรือวางแผนพักผ่อนด้วยการท่องเที่ยว สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตสมดุลคือการรู้จักสำรวจตัวเองและระมัดระวังไม่ให้ตัวเองจมอยู่กับความเครียดมากจนไป และหาอะไรผ่อนคลายเสมอเพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยที่อาจตามมาในอนาคต
บัตรเครดิตช้อปปิ้ง ตามสไตล์คน Work Life Balance
ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี