เลือกอ่านตามหัวข้อ
ทำไมน้ำมันเครื่องถึงสำคัญ?
น้ำมันเครื่องเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลเครื่องยนต์ ทำหน้าที่หล่อลื่น ลดการสึกหรอ และช่วยระบายความร้อน หากไม่มีน้ำมันเครื่องหรือใช้น้ำมันเครื่องที่ไม่ได้คุณภาพ เครื่องยนต์อาจทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง และอายุการใช้งานสั้นลง
น้ำมันเครื่องที่ดีช่วยลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ ลดการสึกหรอที่อาจเกิดขึ้นเมื่อโลหะเสียดสีกัน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดคราบเขม่าและสิ่งสกปรกสะสมในเครื่องยนต์ ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
น้ำมันเครื่องมีกี่ประเภท?
น้ำมันเครื่องสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามส่วนผสมและคุณสมบัติการใช้งาน:
1. น้ำมันเครื่องแร่ (Mineral Oil)
เป็นน้ำมันเครื่องพื้นฐานที่ได้จากการกลั่นน้ำมันดิบ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไปหรือไม่ต้องการสมรรถนะสูงมาก แม้ว่าราคาจะถูก แต่ต้องเปลี่ยนถ่ายบ่อยกว่า เนื่องจากเสื่อมสภาพเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่ขับรถไม่บ่อยหรือขับในระยะสั้น ๆ เป็นหลัก
2. น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic Oil)
เป็นการผสมระหว่างน้ำมันเครื่องแร่และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหล่อลื่น ลดการสึกหรอ และทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดีกว่าแบบแร่ แต่ราคายังอยู่ในระดับกลาง ๆ เหมาะสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป แต่ต้องการคุณสมบัติที่ดีขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องแร่
3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ (Fully Synthetic Oil)
เป็นน้ำมันเครื่องที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ทำให้มีคุณภาพสูง ทนทานต่อความร้อน และมีความเสถียรสูงกว่าประเภทอื่น ๆ สามารถช่วยยืดอายุเครื่องยนต์ และลดโอกาสเกิดคราบเขม่าในเครื่องยนต์ได้ดี เหมาะสำหรับรถที่ต้องการสมรรถนะสูง ขับขี่ทางไกล หรือใช้งานหนัก เช่น รถที่ใช้เดินทางบ่อย ๆ หรือขับด้วยความเร็วสูง
วิธีเลือกน้ำมันเครื่องให้เหมาะกับรถ
1. ดูค่าความหนืด (Viscosity)
ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง เช่น 5W-30 หรือ 10W-40 มีผลต่อการไหลของน้ำมันเครื่องและการปกป้องเครื่องยนต์ ตัวเลขตัวแรก (เช่น 5W) แสดงถึงความหนืดที่อุณหภูมิต่ำ ส่วนตัวเลขตัวหลัง (เช่น 30 หรือ 40) บอกถึงความหนืดที่อุณหภูมิสูง ควรเลือกตามคู่มือรถ
2. ตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ
น้ำมันเครื่องที่ได้มาตรฐานจากองค์กรชั้นนำ เช่น API (American Petroleum Institute) หรือ ACEA (European Automobile Manufacturers' Association) จะช่วยให้มั่นใจว่ามีคุณสมบัติที่ดีและเหมาะสมกับรถ
3. เลือกตามลักษณะการขับขี่
- ถ้าขับรถในเมืองที่ต้องจอดบ่อย ๆ ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่ช่วยลดการสะสมของคราบเขม่า
- ถ้าขับทางไกลหรือใช้รถหนัก ควรเลือกน้ำมันเครื่องที่ทนต่อความร้อนสูงและมีสารช่วยลดการสึกหรอ
เมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง?
- ควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 5,000 - 10,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันเครื่องที่ใช้
- หากน้ำมันเครื่องเริ่มข้นหรือดำมาก อาจเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว
- เช็คระดับน้ำมันเครื่องเป็นประจำ หากต่ำกว่าระดับที่กำหนด ควรเติมหรือตรวจสอบว่ามีการรั่วไหลหรือไม่
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเลือกน้ำมันเครื่อง
- ใช้น้ำมันเครื่องผิดประเภท อาจทำให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วขึ้น
- เลือกน้ำมันเครื่องที่ไม่มีมาตรฐาน อาจทำให้เกิดสิ่งตกค้างในเครื่องยนต์
- ลืมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนด ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นและอาจพังได้เร็วขึ้น
ดูแลรถดีแล้ว แต่เรื่องการเงินก็สำคัญ!
เพราะการดูแลรถให้ดีเป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับคนมีรถทุกคน หากมีปัญหาการเงินเกิดขึ้น อย่าปล่อยให้มันเป็นอุปสรรค หากมีค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน ช่วยคุณได้ด้วยบริการสินเชื่อวงเงินสูงสุด 100% สมัครง่ายได้ทุกอาชีพ อีกทั้งยังมีบริการ พี่เบิ้ม Delivery ไปประเมินราคารถให้ถึงหน้าบ้าน อนุมัติไวใน 1 ชม. รับเงินก้อนได้ทันที โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน และผ่อนได้นานสูงสุด 84 เดือน โดยสามารถเลือกรับบัตรกดเงินสด KTC พี่เบิ้ม ไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินได้อย่างอุ่นใจ หากไม่มีการกดใช้ก็ไม่เสีย ดอกเบี้ยแต่อย่างใด
กรุณาศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ก่อนทำการสมัคร
เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
*วงเงินอนุมัติเป็นไปตามความสามารถในการชำระหนี้และราคาประเมินมูลค่ารถ
*อนุมัติไวใน 1 ชั่วโมง รับเงินทันที เมื่อเอกสารครบถ้วนถูกต้องและโอนเงินเข้าบัญชีกรุงไทย
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 21%-24% ต่อปี