ในช่วงเวลาที่แผ่นดินไหวเกิดขึ้น สิ่งแรกที่เรารู้สึกได้คือลมหายใจที่โล่งอกจากการรอดชีวิต แต่แค่รอดไม่พอ บ้านของคุณยังคงปลอดภัยและแข็งแรงอยู่หรือไม่? การตรวจสอบความปลอดภัยของบ้านหลังแผ่นดินไหวเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะบ้านที่คุณอาศัยอยู่ อาจได้รับความเสียหายโดยที่ไม่สามารถมองเห็นได้ง่าย ด้วยเหตุนี้จึงควรตรวจสอบให้ละเอียดและเข้าใจวิธีการใช้สิทธิประกันภัยของคุณ หากเกิดความเสียหาย
5 จุดเสี่ยงที่ควรรีบตรวจสอบ
หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวแล้ว การตรวจสอบบ้านของคุณเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในบ้าน ต่อไปนี้คือ 5 จุดเสี่ยงหลักที่ควรตรวจสอบอย่างละเอียด:
- เสา/คาน (Structural Beams and Columns) เสาและคานเป็นส่วนที่รองรับโครงสร้างหลักของบ้าน หากเกิดการเคลื่อนตัวหรือแตกร้าวจะส่งผลให้โครงสร้างบ้านมีความเสี่ยงที่จะพังทลายได้ แม้ว่าบางครั้งจะไม่เห็นความเสียหายจากภายนอก แต่การตรวจสอบรอยร้าวที่เกิดขึ้นในพื้นที่สำคัญเช่นเสาและคาน จะช่วยให้คุณรู้ได้ว่ามีการแตกหักที่ต้องซ่อมแซม
- รอยร้าว (Cracks in Walls and Ceilings) การเกิดรอยร้าวในผนังหรือเพดานอาจเป็นสัญญาณของการบิดเบี้ยวของโครงสร้างบ้าน รอยร้าวที่เกิดขึ้นในส่วนที่สำคัญ เช่น บริเวณประตูหน้าต่าง หรือบริเวณที่รองรับน้ำหนักอาจทำให้เกิดความเสี่ยงจากการถล่มของบ้านในอนาคต ควรตรวจสอบรอยร้าวอย่างละเอียดและหลีกเลี่ยงการใช้งานในพื้นที่ที่มีรอยร้าวใหญ่
- หลังคา (Roof Structure) หลังคาบ้านเป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนอย่างมากหลังจากแผ่นดินไหว โดยเฉพาะถ้ามีวัสดุก่อสร้างที่ไม่มั่นคง เช่น กระเบื้องหรือโครงสร้างที่ไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างถูกต้อง หากพบว่าโครงสร้างหลังคาเริ่มหลุดหรือมีการเคลื่อนตัว ควรรีบตรวจสอบและซ่อมแซมทันที
- ระบบไฟฟ้าและน้ำ (Electrical and Plumbing Systems) ระบบไฟฟ้าและน้ำเป็นอีกจุดที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวอาจทำให้ท่อประปาแตกหัก หรือสายไฟฟ้าหลุดออกมา การตรวจสอบระบบเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดไฟไหม้หรือการรั่วซึมของน้ำในบ้านได้
- พื้นเอียง (Uneven Floors) หากพบว่าพื้นบ้านเอียงหรือเกิดการยุบตัว อาจเป็นสัญญาณว่าฐานรากของบ้านได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ในบางกรณีอาจไม่สามารถมองเห็นความเสียหายได้จากตาเปล่า แต่การเอียงของพื้นอาจทำให้บ้านมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต
หากพบความเสียหาย ควรทำอย่างไร
หากหลังจากการตรวจสอบคุณพบความเสียหายที่อาจเป็นอันตรายได้ สิ่งที่คุณต้องทำมีดังนี้:
- ถ่ายรูป
ขั้นตอนแรกในการจัดการกับความเสียหายคือการบันทึกภาพถ่ายความเสียหายทั้งหมด โดยเฉพาะในจุดที่ได้รับผลกระทบ เช่น เสา, คาน, หลังคา หรือรอยร้าวที่สำคัญ ภาพถ่ายเหล่านี้จะช่วยเป็นหลักฐานในการยื่นคำขอประกันภัยและจะช่วยในการประเมินค่าเสียหายได้แม่นยำขึ้น - งดใช้พื้นที่เสี่ยง
หากพบพื้นที่ที่มีความเสียหายหรืออยู่ในจุดเสี่ยง ควรหยุดการใช้งานในทันที เช่น พื้นที่ที่มีรอยร้าวลึก หรือบริเวณที่มีสัญญาณว่าโครงสร้างอาจล้มลง การหลีกเลี่ยงการใช้งานในพื้นที่เสี่ยงจะช่วยลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ - ติดต่อช่างหรือวิศวกร
หากพบความเสียหายร้ายแรง หรือคุณไม่มั่นใจว่าโครงสร้างบ้านยังปลอดภัย ควรติดต่อช่างหรือวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ประเมินสภาพบ้านและแนะนำการซ่อมแซมในจุดที่มีความเสี่ยงสูง
ขั้นตอนการแจ้งเคลมประกันภัย
หากบ้านของคุณมีการทำประกันภัยอยู่แล้ว การแจ้งเคลมเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยมีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้:
- เตรียมเอกสาร
เตรียมเอกสารที่จำเป็นทั้งหมด เช่น สำเนาประกันภัย, ภาพถ่ายความเสียหาย, รายงานจากวิศวกร หรือใบรับรองการตรวจสอบบ้านจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการเคลมเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว - ช่องทางแจ้งเคลม
ปัจจุบันบริษัทประกันภัยหลายแห่งมีช่องทางให้คุณแจ้งเคลมผ่านทางโทรศัพท์, เว็บไซต์, หรือแอปพลิเคชัน เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ควรตรวจสอบช่องทางที่บริษัทประกันภัยของคุณกำหนดไว้และทำการแจ้งเคลมในทันที
หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อบริษัทประกันภัย- กรุงเทพประกันภัย (Bangkok Insurance): โทร. 1620 หรือ 0 2285 8888
- ทิพยประกันภัย (Tip Insure): โทร. 1736 กด 1
- ชับบ์ ประกันภัย (Chubb): โทร. 0 2640 4500 หรือ 0 2611 4455
- อลิอันซ์ อยุธยา (Allianz Ayudhya): โทร. 1292
- แอกซ่า ประกันภัย (AXA): โทร. 0 2118 8111
- ไทยวิวัฒน์ประกันภัย (ThaiVivat): โทร. 0 2715 4000
- รู้ใจ (Roojai): โทร. 02 080 9194
- โตเกียวมารีนประกันภัย (Tokio Marine): โทร. 0 2257 8080
- ฟอลคอนประกันภัย (Falcon Insurance): โทร. 02 037 9955
- ระยะเวลาการดำเนินการ
ควรสอบถามเกี่ยวกับระยะเวลาการดำเนินการเคลมเพื่อให้คุณสามารถติดตามสถานะของการเคลมได้ โดยทั่วไปแล้วระยะเวลาการเคลมอาจขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของความเสียหาย
หากยังไม่มีประกันภัย ต้องเตรียมตัวอย่างไร
หากคุณยังไม่มีประกันภัยบ้านและต้องการทำประกันภัย ควรเริ่มต้นจากการเลือกแผนประกันที่คุ้มครองภัยธรรมชาติ เช่น แผนที่ให้ความคุ้มครองจากแผ่นดินไหว, น้ำท่วม, หรือภัยธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณต้องรับภาระทางการเงินจากความเสียหายที่เกิดขึ้น
การเลือกแผนประกันภัยบ้านควรพิจารณาจากงบประมาณและความคุ้มครองที่เหมาะสม รวมถึงเงื่อนไขของกรมธรรม์ เช่น ระยะเวลารอคอย, เบี้ยประกันที่ต้องจ่าย, และข้อจำกัดของการคุ้มครองจากภัยธรรมชาติ
เปรียบเทียบแผนประกันภัยบ้านที่มีคุ้มครองภัยธรรมชาติ
ในปัจจุบันบริษัทประกันภัยต่างๆ มีแผนประกันภัยบ้านที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติหลากหลายแผน ซึ่งคุณสามารถเลือกเปรียบเทียบความคุ้มครองจากแผนต่างๆ ได้ เช่น
- ประกันภัยที่ครอบคลุมความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
- ประกันภัยที่มีการระบุความคุ้มครองแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ
- การซื้อประกันภัยเสริม (Add-on) สำหรับแผ่นดินไหว
การตรวจสอบบ้านหลังแผ่นดินไหวเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยของคุณและครอบครัว หากพบความเสียหาย ควรรีบดำเนินการแจ้งเคลมประกันภัยทันที เพื่อให้ได้การดูแลที่รวดเร็วและครบถ้วน อย่าปล่อยให้ความเสี่ยงเหล่านี้กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น การเลือกทำประกันภัยบ้านที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการปกป้องทรัพย์สินและความมั่นคงของครอบครัวคุณในระยะยาว อย่ารอให้ความเสียหายเกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันภัย
.