เรื่องและภาพโดย บุญมิตา (My World Freelance Writer Project)
ดินแดนสุดแสนโรแมนติก บนชายฝั่งทางใต้ของเทือกเขาแอลป์ ปกคลุมด้วยความงามจากหิมะ ขุนเขา ป่าไม้ใหญ่ และทะเลสาบ ดูขรึมขลัง ทรงพลัง แต่แฝงความอ่อนโยนเคล้าด้วยเงาสะท้อนในน้ำดั่งภาพเขียน
บอฮินจ์ เงาเสะท้อนแห่งเทือกเขาแอลป์ “บอฮินจ์” (Bohinj) หนึ่งในหุบเขาที่ สวยที่สุดใจกลางจูเลียนแอลป์ (Julian Alps) ในอุทยานแห่งชาติทริเกลา (Triglav) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของสโลวีเนีย แวดล้อมด้วยความงามจากธรรมชาติ ทะเลสาบ ภูเขา แมกไม้ ทุ่งหญ้า รวม ถึงมิตรไมตรีจากผู้คน ที่นี่จะเต็มไป ด้วยชีวิตชีวายามหน้าร้อน มหัศจรรย์ สีสันและแสงสวยในฤดูใบไม้ร่วง และ ในฤดูหนาวยังมีทั้งหิมะขาวให้เล่นสกี และทะเลสาบน้ำแข็งให้เล่นสเก็ต ยิ่งใน ฤดูใบไม้ผลิคุณจะได้ชื่นชมกับน้ำใส สะท้อนเงาภูเขา อากาศสดชื่นเย็น สบาย และสีสันของดอกไม้ที่ผลิบานทั่ว หุบเขาชวนให้หลงใหลตั้งแต่แรกเห็น จะเดินเล่นริมฝั่งสูดอ็อกซิเจนให้เต็มปอดเต็มปอด หรือขี่จักรยาน ล่องเรือ พายเรือ ตกปลา ว่ายน้ำ อาบแดดริม ชายหาด หรือใครชอบกิจกรรมท้าทาย อย่างปีนเขาหรือร่มร่อน (Paragliding) ก็เหมาะทั้งนั้น ในหุบเขายังมีทุ่งหญ้าที่ เต็มไปด้วยดอกไม้ป่า และวิธีชีวิตของ ชาวบ้านในหมู่บ้านรวมถึงพิพิธภัณฑ์ เกี่ยวกับการทำเนยแข็งให้ได้แวะ เยี่ยมเยียน
จุดชมวิวที่สวยที่สุดราวกับเทพนิยายอยู่ ที่ ทะเลสาบบอฮินจ์ ทะเลสาบที่ใหญ่ที่ สุดในสโลวีเนีย ด้วยชายฝั่งที่ยาวถึง 11 กิโลเมตร มีพื้นน้ำใสราวกับ กระจกเงา สะท้อนความมั่นคงของ ขุนเขาและความอ่อนโยนของแมกไม้ เป็นภาพความสงบสุขแฝงด้วยความ ลึกลับ แต่กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลาย บริเวณริมทะเลสาบใกล้กับสะพานหิน เป็นที่ตั้งของโบสถ์นักบุญจอห์นผู้ให้บัพ ติศมา (Church of St. John theBaptist) อายุกว่า 700 ปีเป็นอีกมุม ถ่ายรูปที่ต้องห้ามพลาด โบสถ์แห่งนี้ เป็นศิลปะร่วมจากสมัยโรมาเนสก์จนถึง บาโรก นับเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรม ยุคกลางที่สวยงามของประเทศ และมี ภาพเขียนสีปูนเปียกเก่าแก่ที่สุดของสโล วีเนียอยู่ทั้งในโบสถ์และนอกโบสถ์ นับ ว่ามีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์และ วัฒนธรรม เชื่อกันว่าการได้เคารพภาพเขียนของนักบุญคริสโตเฟอร์ (St. Christpher) ด้านนอกโบสถ์ จะทำให้โชคดีและ ปลอดภัย เพราะท่านเป็นนักบุญอุปถัมภ์ ผู้เดินทางและนักกีฬา
ในวันที่อากาศดีจากที่นี่จะมองเห็นยอด เขาทริเกลา (Triglav) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูง ที่สุดในประเทศสโลวีเนียด้วยความสูง 2,864 เมตร ภูเขานี้เป็นสัญลักษณ์ของ ประเทศและปรากฏอยู่ทั้งบนธงและ ตราประจำชาติด้วย ตาม ประวัติศาสตร์ของชาวบอฮินจ์เล่าว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1778 ชาวบอ ฮินจ์สี่คน ได้พิชิตยอดเขาทริเกลา สำเร็จเป็นกลุ่มแรก และเมื่อมีการ ฉลองครบ 200 ปีของการพิชิตยอดเขา จึงได้มีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็น เกียรติแก่พวกเขาขึ้นในสวนสาธารณะ ใกล้ๆกับโบสถ์ ปัจจุบันบอฮินจ์จึงเป็น ฐานสำคัญของกิจกรรมปีนยอดเขา ทริเกลารวมถึงภูเขาอื่นในบริเวณจูเลียน แอลป์ด้วย
GOOD TO KNOW มีเรื่องเล่าว่า พระเจ้าได้ประทานผืนดินให้แก่ ชาวโลก แต่ลืมคนกลุ่มเล็กๆที่สงบเสงี่ยม เจียมตัวไม่ได้ขออะไรเลย พระเจ้ารู้สึก สงสารจึงได้ประทานแผ่นดินอันงดงามที่สุด ซึ่งพระองค์ได้กันไว้สำหรับพระองค์เองให้ ซึ่งที่นั้นคือ บอฮินจ์ แห่งนี้นั่นเอง
ตำนานความรักแห่งขุนเขาทริเกลา (TRIGLAV) ชายฝั่งทะเลสาบบอฮินจ์มีรูปปั้นของ เลียงผายืนเด่นเป็นสง่า เรียกเป็นภาษา สโลวีเนียว่า “ซลาโทรอค” (Zlatorog) เจ้าของตำนานเลียงผาขาวเขาสีทอง แห่งยอดเขาทริเกลา มีเรื่องเล่าของ พรานหนุ่มซึ่งถูกครอบครัวของสาวคน รักกีดกันและยื่นข้อเสนอพิสูจน์รักแบบ Mission Impossible ให้เขาไปหาขุม ทรัพย์ของซลาโทรอคที่ซ่อนไว้ใต้ภูเขา หรืออย่างน้อยก็ต้องนำช่อกุหลาบแห่ง ทริเกลากลับมาให้ได้ในกลางฤดูหนาว พรานหนุ่มพยายามสุดชีวิตจนได้พบ และยิงซลาโทรอคจนเลือดหยาดหยด เกิดดอกกุหลาบวิเศษแห่งทริเกลาผุด ขึ้น ล่อให้พรานหนุ่มปีนผาตามสูงขึ้น ไป ๆ จนแสงฉายส่องเขาสีทองเปล่ง ประกายจ้าทำให้พรานหนุ่มตาพร่าพลัด ตกลงไปในโตรกธารมีสายน้ำเบื้องล่างรองรับโอบอุ้มร่างของเขา ส่วนซลาโทรอค ผู้มีเมตตาและเป็นที่ศรัทธาของผู้คนถูก ลบหลู่ทำร้ายทำให้โกรธเคืองจนไม่ สามารถจะอยู่ต่อไปได้ จึงใช้เขาทิ่มแทง ไปทั่วหุบเขาจนเกิดทะเลสาบน้อยใหญ่ ดั่งที่เห็นในปัจจุบัน แล้วก็จากไปไม่ หวนกลับมาอีกเลย หญิงสาวเฝ้ารอคน รักกลับมาด้วยความหวังอันริบหรี่ จน วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิหิมะละลาย แม่น้ำโซชา (Soca) ได้พาร่างของแฟน หนุ่มกลับมาในมือของเขายังคงกำ กุหลาบแห่งทริเกลาตามสัญญา คนที่ อาศัยอยู่กลางจูเลียนแอลป์เชื่อว่า ซลาโทรอคยังคงคอยปกปักษ์รักษา เทือกเขารอบๆทะเลสาบและยังเป็น สัญลักษณ์ของธรรมชาติและความอุดม สมบูรณ์อีกด้วย
ทะเลสาบ ขุนเขา และเงาน้ำ BLED ภาพของขุนเขาสีเทาราดด้วยคาราเมล หิมะขาว ทะเลสาบสีฟ้า เงาสะท้อนใน น้ำดั่งกระจกเงาบานใหญ่ ทั้งยอดเขา เงาเมฆ ทิวป่า และหมู่ไม้ เป็นแม่เหล็ก ดึงดูดให้ต้องไปสัมผัสทะเลสาบเบลด ด้วยตนเองอย่างพลาดไม่ได้ รถโดยสาร หน้าตาดี สะอาดสะอ้าน สนนราคา 7.8 ยูโร พาเราออกจากเมืองหลวง ลูบลิยานา (Ljubljana) ระยะทางประ มาน 60 กิโลเมตร มุ่งหน้าสู่ดินแดน แห่งขุนเขาแอลป์ สองข้างทางเป็นทุ่ง หญ้าและพืชไร่ มีแนวเขาอยู่ไกลๆเป็น ฉากหลัง จนอดไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้น แนบกระจกบันทึกภาพ ไม่นานก็มาถึง จุดหมายปลายทาง ทะเลสาบเบลด แม้จะไม่ใหญ่โตแต่ก็งดงามเหมือนภาพฝัน ด้วยน้ำใสสะท้อนเงาปราสาทและแนวหมู่ไม้เขียว ขุนเขาใหญ่ทอดยาวอยู่แนว หลัง สะกดเราด้วยหิมะขาวห่มคลุม ยอด ในตอนปลายยุคน้ำแข็งมีธารน้ำ แข็งสายหนึ่งได้กัดเซาะพื้นโลกจนก่อ เกิดเป็นทะเลสาบเบลด มีเกาะเล็กๆ อยู่กลางทะเลสาบ ไม่น่าเชื่อว่าเกาะนี้ จะเป็นเกาะธรรมชาติเพียงเกาะเดียว ของประเทศสโลวีเนีย มีโบสถ์อัสสัมชัญ (Church of the Assumption) ตั้งอยู่ บนเกาะ การเดินทางไปยังเกาะเราต้อง นั่งเรือ Pletna เรือแจวอันเป็นสัญลักษณ์ หนึ่งของที่นี่ ว่ากันว่าถ้าไม่ได้นั่งเรือนี้ก็ ถือว่ายังมาไม่ถึงเบลด อาชีพแจวเรือ ของที่นี่เป็นอาชีพสืบทอดกันมาตั้งแต่ ปลายศตวรรษที่ 16 ค่านั่งเรือแจว ไป-กลับคนละ 12 ยูโร มีจุดจอดเรือ อยู่หลายจุดรอบทะเลสาบ
เกาะกลางทะเลสาบเบลดเป็นจุดที่นัก โบราณคดีค้นพบร่องรอยของมนุษย์ยุค ก่อนประวัติศาสตร์และมีหลักฐานการ อาศัยของชาวสลาฟในช่วง ค.ศ. 9 – 10 โดยตำนานเล่าว่าคนที่นี่เชื่อในลัทธิเพเกิน (Pagan) ที่ตั้งของโบสถ์อัสสัมชัญ เดิมเป็นที่ตั้งของวัดเทพี Ziva เทพีแห่ง ความรักและอุดมสมบูรณ์ของสลาฟ เมื่อศาสนาคริสต์เผยแพร่เข้ามา วัดเทพี ถูกทำลายและสร้างเป็นโบสถ์ขึ้น พร้อมกับตำนานความรักของ ทหารหนุ่มเพเกินผู้ต่อสู้กับกลุ่มความเชื่อ ที่แตกต่าง แต่กลับมาพบความพ่ายแพ้ สาวคนรักได้ยอมรับศาสนาใหม่และ อุทิศตนแด่ศาสนาขออยู่ที่โบสถ์ตลอดไป
โบสถ์อัสสัมชัญเริ่มแรกสร้างขึ้นใน ค.ศ.1142 เป็นแบบโรมาเนสก์ ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านภัยแผ่นดินไหว และมีการบูรณะหลายครั้ง เปลี่ยนรูปแบบ หลายครา เป็นสไตล์โกธิคก็มีเป็นสไตล์บาโรกก็ด้วย ภายในมีการ รักษาภาพเขียนสีปูนเปียกเล่าเรื่องราว เกี่ยวกับชีวิตของพระแม่มารีและ รูปสลักไม้ของพระแม่มารีไว้เป็นอย่างดี แท่นบูชาของเก่างดงาม ภายนอกมี ชิ้นส่วนของโบสถ์เดิมและโบราณวัตถุ จัดแสดงอยู่
บนหน้าผาหินปูนมีปราสาท Bled Castle ตั้งอยู่ มองดูน่าเกรงขาม โผล่สูงเด่นเหนือ แนวไม้ เป็นปราสาทยุคกลางอายุกว่าพันปี เก่าแก่ที่สุดของสโลวีเนีย ตามหลักฐาน บันทึกไว้ว่า จักรพรรดิเฮนรีที่ 2 แห่งเยอรมัน ทรงมอบปราสาทให้แก่ บิชอปแห่งบริกเซ็น (Brixen) เมื่อ ค.ศ. 1004 เราต้องออกแรงปีนขึ้นมา ตามทางที่มีป้ายเขียนว่า Grad ซึ่งแปลว่า ปราสาท ใช้เวลาเดิน 15-20 นาที ก็จะมาถึงประตูทางเข้า ค่าเข้าชม 8 ยูโร จากปราสาทมองลงมาเห็นวิวทะเลสาบ สวยทำให้หายเหนื่อยไปเลย
TIP หลายคนบอกไว้ว่า สิ่งหนึ่งต้องห้ามพลาดเมื่อมาเบลด ก็คือ ครีมเค้ก “Kremna Rezina” ของหวานประจำเมืองเบลดที่ดีที่สุดต้องที่ โรงแรม ปาร์ค (Hotel Park) ต้นตำรับเท่านั้น ที่นี่มีภาพแสดงประวัติและการทำ เค้กโชว์ไว้ให้ได้ชมตั้งแต่ทางเข้าร้านอาหารเลย ว่ากันว่าผู้จัดการโรงแรม ปาร์คต้องลองแล้วลองอีกเป็นเวลาหลายปีกว่าจะได้ขนมชิ้นเยี่ยม ออกวางขายชิ้นแรกใน ค.ศ. 1953 จากนั้นความอร่อยหอมหวานก็ เย้ายวนใจให้ใครต่อใครมาลิ้มลองจนปัจจุบัน
เมืองเก่าแห่งยุคกลาง ŠKOFJA LOKA ณ ที่ซึ่งแม่น้ำโพลิอานา ซอรา (Poljane Sora) และแม่น้ำเซลซา ซอ รา (Selca Sora) สองสายมาบรรจบมี เมืองเล็กๆพัฒนาขึ้นกว่าพันปีมาแล้วใน ชื่อ “โลกา” (Loka) แปลว่าพื้นที่ใกล้ น้ำที่เขียวไปด้วยหญ้า เป็นหนึ่งในที่ตั้ง ถิ่นฐานเก่าแก่ของประเทศนี้ ต่อมาพื้นที่ นี้ถูกยกให้อยู่ในการปกครองของบิชอป เมืองนี้จึงได้ชื่อใหม่ว่า “สโคฟจา โลกา” (Škofja Loka) แปลว่าทุ่งหญ้าของบิชอป เมืองที่มากด้วยมรดกทางวัฒนธรรม เมืองเก่ายุคกลาง ไม่โดดเด่นหวือหวา แต่มีค่าในตัวเองจากลูบลิยานา เมืองหลวง ของสโลวีเนียเพียงครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึง เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ภาพตึกสามชั้นสีเก่าๆ แต่มีร่องรอยการวาดภาพตกแต่งเต็ม หน้าตึก ดูจากในแผนคือ ศาลากลางเก่า เป็นที่ทำการของการบริหารส่วนท้องถิ่นในศตวรรษที่ 16 หันไปอีกทางเป็น ที่ทำการบริหารเมืองในปัจจุบัน ตึกซิกอน (Šigon) มีลักษณะแปลกตา มีมุขเป็น ชั้นบนยอดแหลม
จัตุรัสของเมือง เรียกว่า พลาซ (Plac) ตึกในบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นตึกสามชั้น มีสีสันและมีการตกแต่งทั้งหน้าตึก หน้าต่าง ประตู แถมด้วยลานบ้านสวย เชิดหน้าชูตาและมีความใหญ่โตโอ่โถง บ่งบอกความร่ำรวยของเจ้าของในอดีต จนทำให้เมืองนี้มีชื่อเล่นว่า “Colourful Loka” ดูจากตึกบ้านมหาเศรษฐีชื่อบ้าน พาร์ซัน (Parson’s house) ที่มีแผ่นหิน ตราประจำตระกูลสไตล์เรเนซองส์ ประดับอยู่ และมีโบสถ์เล็กๆในบ้าน ด้วย มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นบ้าน ไคเบท (Kajbet House) อีกตึกสวย ของเศรษฐียุคกลางที่ตอนนี้เป็นร้านค้า ห้ามลืมเก็บภาพอนุสาวรีย์พระแม่มารี (Mark of Mary) ที่กลางจัตุรัสมีรูปปั้น นักบุญขนาบข้างเสาสูง หัวเสาแบบไอโอนิก ลายบัวม้วนก้นหอยเทินรูปพระแม่ไว้ ด้านบน
GOOD TO KNOW สโลวีเนียเป็นประเทศที่อยู่บนชายฝั่งทางใต้ของเทือกเขาแอลป์ ในยุโรปกลางตอนใต้ มีชายแดน ติดกับประเทศออสเตรีย โครเอเชีย ฮังการี และอิตาลี มีภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อน ช่วงเดือนกรกฎาคมประมาณ 21 ํC ในฤดูหนาวช่วงเดือนมกราคม ประมาณ -2 ํC
เดินตามนักเรียนสองสามคนที่มา ทัศนศึกษาบริเวณนั้น ไปหยุดหน้าตึก สองชั้นมีภาพเขียนและแผ่นหินตราเด่น อยู่ด้านหน้า ในแผนที่บอกว่าเป็น โรงเรียนชายแห่งแรกของสโคฟจาโลกา ใกล้กันมีโบสถ์นักบุญยาค็อบ (St. Jacob’s, The Parish Church) โบสถ์ศิลปะโกธิกตอนปลายโดดเด่น ของเมือง จากลานหน้าโบสถ์มีตึกใหญ่ อีกตึกคือ คฤหาสน์โฮมัน (Homan House) มีลักษณะเด่น ด้วยลวดลาย วาดตกแต่งขาวดำและภาพเขียนสี ปูนเปียกรูปทหารยุคกลาง เขาว่า อีวาน กรอฮาร์ท (Ivan Grohar) ศิลปินผู้มีชื่อเสียงของสโลวีเนียชอบมา บ้านนี้เป็นประจำ และผลงาน “Loka in The Snow” ก็ได้จากภาพวิวที่มอง จากหน้าต่างชั้นบนของคฤหาสน์นี้นี่เอง
จากนั้นเดินต่อไปยังจัตุรัสยาวหรือ จัตุรัสล่าง ได้เห็นบรรยากาศบ้านสองชั้น แบบเรียบง่าย อันเป็นที่อยู่อาศัยของ พวกช่างฝีมือและชาวเมืองที่ไม่ร่ำรวย ในวันนี้ยังคงไว้แบบเดิมเพราะภาพที่ เห็นคือตึกส่วนใหญ่ยังคงเป็นสีเก่าไม่ได้ รับการบูรณะมากนัก บริเวณนี้มีโบสถ์ สีชมพูเด่น คือ โบสถ์สปิทาล (Špital) เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกที่สวยงาม ติดกันกับโบสถ์มีโรงทานสร้างขึ้นให้เป็น ที่อยู่ของคนจน คนชรา และคนพิการ
การเดินทาง ไม่มีสายการบินบินตรงจากประเทศไทยไป ประเทศสโลวีเนีย แนะนำให้เลือกบินมาลง ออสเตรีย แล้วต่อมากรุงลูบลิยานา เมือง หลวงของสโลวีเนีย หรืออาจจะบินมาลงที่ อิตาลี แล้วเลาะผ่านเวนิสไปทางตะวันออก ถือโอกาสได้เที่ยวยุโรปไปในตัว
ที่มา : นิตยสาร My World Vol.99 Jan-Feb 2016 (หน้า 54)