เรื่อง & ภาพ กาญจนา หงษ์ทอง
ปี 2014 คุณปักหมุดการเดินทางไว้ที่ไหนกันบ้างหรือยัง ถ้ายังลองมาดูลิสต์ของ My World ว่าปี 2014 มีประเทศไหนน่าไป เมืองใดเทรนดี้์น่าเที่ยว เมืองที่นักเดินทางร่วมกันโหวตว่า เห็นบรรยากาศแล้วต้องรีบแพ็คกระเป๋าหนีตาม 8 เมืองนี้
สต็อกโฮล์ม
งามเลอค่าดุจเจ้าหญิงแห่งยุโรป คือคำที่หลายคนพร่ำพรรณาถึงสต็อกโฮล์ม (Stockholm) คุณไม่มีทางเชื่อหรอก นอกจากจะพาสองตาไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง นี่คือนครหลวงแห่งสวีเดน ที่ทั้งสวยและมีต้นทุนค่าทำความรู้จักที่อาจจะแพงไปสักหน่อย แต่เธอก็สวยหรูราวกับแบรนด์เนมราคาแพงระยับที่อยู่หลังตู้กระจกนั่น
เมืองเก่ามักมีเสน่ห์และมนตราเสมอ ค่อย ๆ ซอกแซกไปบนถนนแคบ ๆ ที่ปูไว้ด้วยหินอย่างไม่รีบร้อน ละเลียดชมสถาปัตยกรรมที่โรยไว้บนอาคารเก่า โบสถ์ พิพิธภัณฑ์ เหนื่อยนักก็นั่งพักน่องแถวคาเฟ่เก๋ ๆ ตามริมจัตุรัสประจำเมืองเก่า (Stortorget) แล้วค่อยไปชมพระราชวังหลวง (The Royal Palace) ที่โก้หรูและดูภูมิฐานของสวีเดน
ที่เหลือหากมีเวลาค่อยไปนั่งเล่นกินลมชมบรรยากาศศาลาว่าการประจำเมือง (City Hall) แล้วค่อยไปเดินสายเที่ยวพิพิธภัณฑ์ แต่ถ้ามีเวลาจำกัดต้องเลือกแค่พิพิธภัณฑ์เดียว แนะนำพิพิธภัณฑ์เรือ วาซา (Vasa Museet) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรือรบโบราณ แต่มาถึงสต็อกโฮล์มทั้งทีอะไรก็ไม่น่าทำเท่าล่องเรือไปตามเกาะแก่ง (Archipelago) น้อยใหญ่ แล้วคุณจะเห็นด้วยกับที่ใคร ๆ ก็บอกว่า “สต็อกโฮล์มคือราชินีแห่งสายน้ำ”
หลายคนบอกว่าอยู่สต็อกโฮล์มเป็นอาทิตย์ก็เที่ยวไม่ครบ เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวให้ตระเวนดูเยอะไปหมด แค่เดินสายเที่ยวพิพิธภัณฑ์อย่างเดียวก็เพลินมากแล้ว คุณจะมีเวลาให้สต็อกโฮล์มกี่วันก็ช่าง แต่นี่คือสถานที่ที่คุณต้องไปเมื่อมาถึง กัมลา สแตน (Gamla Stan) หรือเขตเมืองเก่า โปรแกรมบังคับที่ไม่ว่าคุณจะมีเวลาแค่ครึ่งวัน หรือหลายวันก็ต้องมาหาที่หมายนี้ให้ได้
ลิสบอน
ในทำเนียบเมืองคลาสสิคถ้าไม่มีชื่อของลิสบอน (Lisbon) ติดอยู่ในโผด้วยก็อาจจะแปลกไปสักหน่อย เพราะนครหลวงของโปรตุเกสแห่งนี้ทั้งสวยทั้งคลาสสิค ไม่ว่าคุณอยากจะตามรอยประวัติศาสตร์ ขนมไทยอย่างทองหยอด ฝอยทอง หรืออยากตามไปชิมขนมทาร์ตไข่ฉบับ ต้นตำรับก็เหมาะจะไปที่เมืองนี้ หรือหากใครนิยมชมชอบการศึกษาประวัติศาสตร์ ลิสบอนจะทำให้คุณได้เพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือเพื่อล่าอาณานิคม ไปจนถึงภัยสงครามและภัยธรรมชาติที่เล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า
และถ้าอยากตามรอยเรื่องราวเหล่านี้ สถานที่ที่ต้องไปคือ หอเบเลม (Belem Tower) อนุสรณ์สถานอันเก่าแก่ที่มีสายสะพายมรดกโลกการันตี ที่นี่จะช่วยขยายภาพให้เห็นความรุ่งเรืองในอดีต ของลิสบอนได้เป็นอย่างดี สมัยก่อนเวลาพวกโปรตุเกสจะออกเดินเรือเพื่อไปสำรวจโลกเขาจะมาออกตัวกันที่นี่ เดิมทีสร้างไว้กลางน้ำเพื่อเป็นป้อมปราการ คอยดูแลการเดินเรือเข้า-ออก นอกจากนี้ยังมีอนุสรณ์สถานดิสคัพเวอรี่ (Monument of Discoveries) ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการค้นพบโลกใหม่ของโปรตุเกส ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอเบเลม
แต่สถานที่ที่จะเหนี่ยวให้นักท่องเที่ยวอยู่ได้นานเป็นพิเศษ น่าจะเป็นวิหารเจอโรนิโม (Jeronimo Monastery) มุมที่มีสถาปัตยกรรมที่เรียกกันว่า มานูเอลไลน์ (Manueline) ให้ได้ชม ด้านนอกว่าสวยงามแล้ว ด้านในเข้มขลังเหลือเกิน รวมถึงยังมีปราสาทเก่าแก่ เซนต์ จอร์จ (St. George Castle) ในย่านอัลฟามา (Lafama) ทอดตัวอยู่บน เนินเขารอทุกคนไปเยี่ยมเยือน ใครอยากชมวิวเมืองลิสบอนให้ขึ้นไปบนนี้คุณจะเห็นวิว 360 องศาของที่นี่ จากนั้นชวนไปเดินทอดน่องบน แอฟวนิดา ดา ลิแบร์ดาเด (Avenida Da Liberdade) ถนนแห่งความบันเทิงเริงใจที่มีร้านรวงให้ช้อปปิ้ง ตบท้ายด้วยการหาทาร์ตไข่ชิมสักชิ้นเป็นอันว่าถึง
กอเตอร์
ปีสองปีมานี้ มอนเตเนโกร รับแขกกันชนิดหัวบันไดไม่เคยแห้ง หลังจากเปิดไฟเขียวให้นักเดินทางที่มีวีซ่าเชงเก้นประดับพาสปอร์ตเข้านอกออกในได้สบาย แต่สำหรับคนที่พาตัวเองไปถึงโครเอเชีย จึงมักแฉลบลงใต้ไปหามอนเตเนโกรเป็นของแถม เพราะงดงามไม่น้อย โดยเฉพาะ กอเตอร์ (Kotor) เมืองที่โดดเด่นกว่าเมืองหลวง พอดกอริซา (Podgorica) อาจเพราะกอเตอร์ทอดตัวอยู่ริมทะเลอะเดรียติค จึงมีความรื่นรมย์เป็นต้นทุนเสมอ
กอเตอร์เนื้อหอมขนาดที่แต่ละวันจะมีเรือสำราญยี่ห้อต่าง ๆ มาจอดเทียบท่าหน้าอ่าวกันให้สลอน และมุมที่หลายคนมุ่งหน้าไปหาคือเมืองเก่า (Old Town) ในรั้วรอบขอบชิดของเมืองเก่าแห่งกอเตอร์มากมายไปด้วยโบสถ์ อาทิ โบสถ์เซนต์ลุค (St. Luke’s Church) ที่สร้างตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 12 ด้วยสถาปัตยกรรม ผสมผสานระหว่างโรมาเนสก์กับไบเซนไทน์ แม้เป็นโบสถ์เล็ก ๆ แต่ภาพเขียนสีเฟรสโกที่อยู่ด้านในก็ทำให้ผู้คนเดินเข้าออกโบสถ์นี้กันตลอดทั้งวัน รวมถึงโบสถ์ เซนต์นิโคลัส (St. Nicolas Church) โบสถ์เซนต์ ไทรฟอน (St. Tryphon’s Cathedral) ที่สร้างตั้งแต่ ศตวรรษที่ 11
ในชายคาเมืองเก่ายังมีอาคารโบราณที่เคยเป็นทั้งคุก โรงพยาบาล ค่ายทหาร ซึ่งแม้ทุกวันนี้จะเป็นบ้านคน พิพิธภัณฑ์ และร้านรวงไปเกือบหมดแล้ว แต่ตรงไหนเป็น อาคารสำคัญเขาจะติดป้ายเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้รู้ แต่ไฮไลท์อยู่ที่การปีนป้อมปราการที่ต้องไต่บันไดขึ้นไป 1,300 ขั้น (ระยะทาง 4 กม.) ถ้าเรี่ยวแรงไม่เป็นใจ ความจริงแค่กิโลเมตรแรกคุณก็ได้สัมผัสความงามของเวิ้งอ่าวและกอเตอร์ได้ทั้งเมืองแล้ว
ดูบรอฟนิค
ถ้าคุณเป็นพวกชอบดื่มกินแสงแดด นอนเกลือกกลิ้ง ปิ้งตัวบนชายหาด ในเวลาเดียวกันก็หลงไหลเมืองเก่า รับรองว่าคุณต้องชอบ ดูบรอฟนิค (Dubrovnik) ประเทศโครเอเชียแน่นอน
นี่คือเมืองที่มีความย้อนแย้งอยู่ในตัว บางมุมดูบรอฟนิคก็ดูเบิกบาน ร่าเริง สดใส สมเป็นเมืองริมทะเลที่แสงแดดอาบไล้เกือบตลอดทั้งปี แต่บางมุมก็ดูหม่นเศร้ากับเรื่องราวจากสงครามในอดีต เมื่อมาถึงที่นี่อย่างแรกที่ควรทำคือเดินสำรวจเมืองจากบนกำแพงเมืองเก่าที่โอบเมืองเอาไว้ทั้งเมือง กำแพงมีความยาว 2 กม. สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เรื่องราวในอดีตและประวัติศาสตร์หลายหน้าของโครเอเชียถูกฝังไว้บนกำแพงแห่งนี้ แม้แต่สงครามครั้งล่าสุดก็กำแพงเมืองอันบึกบึนแห่งนี้ช่วยดูบรอฟนิคให้รักษาเมืองเอาไว้ได้ยาวนานกว่า 700 ปี
นอกจากจะได้ตามรอยประวัติศาสตร์ของเมืองแล้ว อยู่บนนี้คุณจะได้เห็นวิวเมืองเก่าและเห็นผืนทะเลได้อย่างเต็มตา จากนั้นชวนไปเดินเล่นแถวพลาคา (Placa) ถนนสายสุนทรีย์ที่มีแต่ความรื่นเริงบันเทิงใจรอทุกคนอยู่ เพราะตลอดทางมีทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ตั้งเรียงรายดักนักเดินทางจากทั่วมุมโลก โดยมีต้นทางอยู่ที่ลานน้ำพุโอโนฟริโอ (Onofrio) ที่ใคร ๆ ก็มานั่งเล่น หรือบางคนก็ใช้ที่นี่เป็นมุมนัดพบ สุดทางของพลาคาแออัดไปด้วย สถานที่น่าสนใจ ทั้งโรแลนด์ คอลัมน์ (Roland’s Column) ที่อยู่ด้านหน้าหอระฆัง (Bell Tower) พระราชวังสปอนซา (Sponza Palace) อันเก่าแก่ และพระราชวังเรคเตอร์ (Rector Palace) ที่อวดสถาปัตยกรรมที่ผสานไว้ทั้งสไตล์โกธิกและเรเนซองส์ และทั้งหมดนี้กำลังรอคุณอยู่ที่นี่ปีนี้
เคปทาวน์
ถ้าซูมไปหาทวีปแอฟริกา ค้นหาเมืองที่มีความโดดเด่นที่สุด หนึ่งในนั้นจะมี เคปทาวน์ (Cape Town) แห่งแอฟริกาใต้ อยู่ในลิสต์ด้วย เคปทาวน์เด่นขนาดใครสำรวจอะไรก็ติดไปทุกโผ จึงไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ก็ปลงใจไปหา เมื่อดั้นด้นมาถึงคุณจะถูกต้อนรับด้วยรีเซฟชั่นกิตติมศักด์ิอย่างภูเขาโต๊ะ (Table Moutain) เมื่ออยู่ที่นี่เงาทะมึนสูงใหญ่ของภูเขาโต๊ะจะเด่นตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง และสะกดรอยตามคุณไปทุกที่หากดินฟ้าอากาศเป็นใจ และมีเวลามากพอการปีนขึ้นไปอยู่บนภูเขาโต๊ะก็น่าสนใจไม่น้อย
ไม่เว้นแม้แต่ที่ วิคตอเรีย & อัลเฟรด วอเทอร์ฟรอนท์ (Victoria & Alfred Waterfront) มุมที่คนนิยมเสพความรื่นรมย์ไม่พลาด สถานที่ที่คึกคักในช่วงบ่ายไปจนถึงเย็นยำ่ เพราะทั้งชาวเมืองและนักท่องเที่ยวจะพากันออกมาเดินช้อปปิ้ง แฮงก์เอาท์ตามร้าน กาแฟ ดูการแสดง บางคนมาเพื่อนั่งเรือออกไปดูพระอาทิตย์ตก นั่งเรือไปเกาะรอบเบน มาเพื่อนั่งชิงช้าสวรรค์ หรือแค่มานั่งผึ่งแดด ถือเป็นอีกสถานที่ที่ไม่เคยเงียบเหงา
ยังมีอีกมุมหนึ่งของเคปทาวน์ที่โรยไว้ด้วยสีสันนั่นคือ ย่านโบแคพ (Bo-Kaap) บ้านเรือนสีชมพู เขียว เหลือง ส้ม ม่วง น้ำเงิน ย่านโบแคพ คือย่านของชาวมุสลิมที่อยู่ในเคปทาวน์ เดินเหินแถวนี้จะเจอทั้งสุเหร่าและวัฒนธรรมการทักทายแบบชาวมุสลิม เหมือนไม่ได้อยู่ในแอฟริกา ตบท้ายด้วยช้อปปิ้งที่ กรีน มาร์เก็ต สแควร์ (Green Market Square) แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเคปทาวน์ถึงติดกลุ่มเมืองน่าเที่ยวไปทุกโผ
เกนท์
อาจไม่ใช่เมืองแรก ๆ ที่คนมาเบลเยียมนึกถึง แต่ เกนท์ (Ghent) ก็เป็นเมืองสวยที่ไม่ควรพลาด อยู่ห่างจากบรัสเซลส์เมืองหลวงราวครึ่งชั่วโมงโดย รถไฟ คนส่วนใหญ่จึงมักมาเที่ยวที่นี่กัน แบบเดย์ทริปจากบรัสเซลส์ หลายคนพูดถึงเกนท์ว่าเป็นเมืองท่า เมืองการค้า และเมืองมหาวิทยาลัย หากแต่ในความเป็นจริงเกนท์คือเมืองริมน้ำที่รื่นรมย์และมีชีวิตชีวาแห่งหนึ่งของยุโรป
เมื่อเดินเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองจะเจอทั้งโบสถ์ คลอง สะพาน และเหล่าอาคาร เก่าแก่ที่มีทั้งฝั่ง Graslei และ Korenlei ใครอยากรู้จักประวัติศาสตร์ของเกนท์อย่างละเอียด ลองซื้อทัวร์ล่องเรือไปตามลำคลองแล้วไกด์จะบรรยายถึงอาคารสำคัญ ๆ ที่อยู่ริมสองฟากฝั่งอย่างสนุกสนาน โดยปกติถ้าเป็นช่วงเดือนเม.ย.-ต.ค. จะมีบริการล่องเรือ ตั้งแต่ 10.00-18.00 น. แต่ถ้าช่วง ฤดูหนาวจะล่องกัน 12.00-16.00 น.
ยังมีโบสถ์และวิหารอีกหลายแห่งที่ควรชม หนึ่งในนั้นคือ วิหารเซนต์ บาโว (St. Bavo’s Cathedral) ซึ่งถือว่าเป็นโบสถ์แห่งแรกของเมือง มีสไตล์ผสมระหว่างโกธิก โรมาเนสก์ และบาร็อค รวมถึงโบสถ์เซนต์นิโคลัส (St. Nicholas’s Church) ศาสนสถานที่มีสถาปัตย์สไตล์เฟลมมิช นี่คือโบสถ์ที่ว่ากันว่าเป็นตัวแทนที่บอกเล่าความมั่งคั่งของเกนท์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงหอระฆัง (Belfry and Cloth Hall) สัญลักษณ์สำคัญของเมือง
มัสกัต
หากสแกนแผนที่ในแถบตะวันออกกลางและทะเลอาระเบียน ยามนี้ไม่มีอะไรร้อนแรงเท่า นครมัสกัต (Muscat) แห่งโอมานอีกแล้ว อาจจะไม่มีตึกหรูหราสูงใหญ่เทียบเท่าดูไบหรืออาบูดาบี แต่มัสกัตก็มีเสน่ห์ในแบบฉบับตัวเอง ไม่เชื่อลองไปดูได้ที่ มัทรา ซุค (Muttrah Souk) ตลาดใต้ร่มขนาดใหญ่ใจกลางกรุงอันแสนคึกคัก
มัทราซุคคือตลาดใหญ่ที่แออัดไปด้วยข้าวของน่าซื้อทั้งของแต่งบ้าน เครื่องประดับ โดยเฉพาะพวกอำพันและเทอร์ควอยซ์ถือว่าเยอะมาก แถมยังเป็นมุมหนึ่งของโอมานที่ช่วยฉายภาพให้เห็นวิถีชีวิตผู้คน ของฝากอีกอย่างหนึ่งที่ถือว่าเป็นสัญญลักษณ์คือกริช คนที่นี่เขาเรียก คันจาร์ (Khanjar) ถ้าเป็นร้านขายเครื่องเงินก็จะมีกริชทำจากเงินแท้ แกะสลักลวดลายอย่างละเอียดงดงาม
ใกล้กันเป็นถนนเลียบทะเลตีโค้งยาวที่ผู้คนเอาไว้เดินเล่นกันตอนเย็น ๆ ซึ่งนอกจากจะได้เห็นความเก่าแก่ของเมืองแล้ว ยังมีสุเหร่าและบ้านตั้งเรียงรายอยู่ นอกจากนี้ยังมีท่าเรือมัททรา ที่มีเรือน้อยใหญ่จอดกระจัดกระจายกันแน่นอ่าว มองจากถนนเลียบทะเลจะเห็นป้อมปราการ มัทรา ฟอร์ท ตั้งโดดเด่นอยู่บนภูเขาอันแห้งแล้ง
ในย่านโอลด์ มัสกัต นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเกี่ยวกับการแต่งกายของชาวโอมานแบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีพระราชวัง อัล อลาม (Al Alam Palace) ที่สวยสดงดงามให้ชม แต่ที่พลาดไม่ได้คือสุเหร่า ประจำเมือง (Grand Mosque) ที่ทั้งใหญ่และอลังการ ตกแต่งภายในงดงามด้วยกระจกสีและพรมทอมือผืนใหญ่ รวมถึงแชนเดอเลียที่อลังการงานสร้างมาก
เพตรา
ต่อให้นครเพตรา (Petra) ไม่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ ของโลก แต่ก็ถือว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวของจอร์แดน เพราะตั้งอยู่ในเทือกเขาแห้งแล้งกลางทะเลทราย ไม่ได้มีความงดงามรออยู่ที่ปลายทางอย่างเดียว แต่ยังมีความเร้นลับซ่อนอยู่อย่างน่าพิศวงด้วย เพราะหลังจากสงครามครูเสดสิ้นสุด นครเพตราที่เคยรุ่งเรืองในอดีต กลับเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เพตรากลายเป็นเมืองสาบสูญ จวบจนกระทั่งโมงยามเคลื่อนคล้อยไปอีกเกือบ 2,000 ปีถัดมา จึงเกิดการค้นพบนครแห่งนี้ขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเดินเท้าเข้าสู่นครเพตราชวนให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในวงล้อมของภูผา การทอดน่องไปสู่อาณาจักรเก่าแห่งเมืองลับแลจะคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามไหล่เขา และค่อย ๆ หดแคบลงเรื่อย ๆ เหลือเพียงหลืบที่เป็นช่องขนาดเล็กที่เรียกว่าซิค (Siq) และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ เทรชเชอรี (Treasury) หรือท้องพระคลัง มุมที่สะกดนักท่องเที่ยวทุกคนให้แหงนคอมองผาหินสลักสูงใหญ่สีชมพูอันโอ่โถง ที่ชาวนาบาเทียนลงมือแกะสลักอย่างน่าทึ่ง
นอกจากนี้ยังมีโรงมหรสพกลางแจ้งที่จุคนได้มากกว่า 3,000 ที่นั่ง รวมถึงการเจาะภูเขาทำหลุมฝังศพของคนโบราณจำนวนมาก นั่นเพราะเมืองโบราณที่อยู่ในซอกเขาแห่งนี้เคยมีผู้คนอาศัยราว 20,000 คน ช็อตเด็ดสุดท้ายของนครเพตราอยู่ที่ โมนาสเทอรี (Monastery) มุมที่ต้องไต่เขาและปีนป่ายขึ้นเขาเกือบชั่วโมง แล้วคุณจะได้พบกับวิหารแกะสลักบนผาหินสีชมพูที่งดงาม จากปากทางซอกแซกผ่าน โตรกหินผา ไต่เขาลัดเลาะไปบนสีชมพูของผาหินสลัก ชวนให้รู้สึกว่าช่างเต็มไปด้วยกรุ่นกลิ่นไออวลของประวัติศาสตร์ ริ้วรอยและซาก ปรักหักพังของอาณาจักรนาบาเทียน ทั้งหมดบอกเล่าถึงอดีตอันรุ่งเรืองของนครลับแลแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ที่มา : นิตยสาร My World Vol.80 Dec 2013