R-HAAN

ร้านอาหารที่นำเสนอประสบการณ์ อาหารไทยแบบไฟน์ไดนิ่ง รังสรรค์เมนูอาหารไทยใน รูปแบบแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ทว่ายังคงรสชาติของ อาหารไทยไว้อย่างครบครัน การันตีด้วยรางวัลมิชลิน 2 ดาว โดยเชฟชุมพล แจ้งไพร ซึ่งนำสำรับอาหารจาก ภูมิปัญญาอาหารไทยตำรับดั้งเดิม ผสมผสานการเชิดชู สมุนไพรไทย และวัตถุดิบชั้นเลิศตามฤดูกาลจากชุมชน ในทุกภูมิภาคของไทย ทุกเมนูเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิด สร้างสรรค์ในการนำเสนอ ผ่านฝีมือการปรุงอย่างประณีต พิถีพิถัน และความวิจิตรงดงามของการจัดสํารับอาหาร โดยเมนูจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล และเลือกใช้วัตถุดิบ ภายในประเทศเป็นหลัก เพื่อตอกย้ำแนวคิด ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” โดยวางกรอบของการปรุงในแต่ละจานไว้ว่า จะต้องมีครบทั้ง 5 ประสาทสัมผัส (5 Senses) คือ รูป รส กลิ่น สี เนื้อสัมผัส พร้อมด้วย 5 รสชาติหลัก คือ เปรี้ยว เค็ม หวาน เผ็ด มัน รวมถึง 3 รสชาติรอง คือ ขม ฝาด และซ่า

R-HAAN
R-HAAN

ซึ่งในปี 2022 นี้ นำเสนออาหารไทยสำรับใหม่ในชื่อ “The Sustainable Wisdom of Thai Herb” ที่เชฟชุมพล จะพาทุกท่านเดินทางท่องราชอาณาจักรไทย ผ่านอาหารขึ้นชื่อ ของแต่ละภูมิภาคในเซตเมนู 8 คอร์ส เปิด รับแรกด้วย Welcome to Thailand อาหาร เรียกน้ำย่อยที่นำเสนอรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้ง 5 ภูมิภาคของไทย ได้แก่ แอ่วเหนือ - ลาบไก่คั่วเมืองล้านนา เที่ยวกลาง - ทอดมันกุ้งสามเกลอ ย่ามอีสาน ไส้กรอกอีสาน ล่องใต้ - แกงไตปลาดับขมิ้น และพบกันตะวันออก - ปู่จ๋าบ้านปูระยอง โดยอาหารแต่ละคำจัดเรียงตามตำแหน่งของ แต่ละภาคอยู่บนแผนที่ประเทศไทย ที่ทำจากเปลือกกุ้ง ล็อบสเตอร์ที่นำมาอบและบดจนละเอียด เสิร์ฟในกล่องไม้ สวยงาม สำรับต่อมา พล่ากุ้งลายเสือจันทบุรี หัวปลีกล้วยตานี กุ้งลายเสือจากจังหวัดจันทบุรี อุดมด้วยแร่ธาตุสำคัญ เช่น แอสตาแซนทิน สารสีแดงที่พบในเปลือกกุ้ง ปู ปลาแซลมอน

R-HAAN
R-HAAN

และไข่ปลาคาเวียร์ มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ และ ยังมีโคโตซาน เส้นใยอาหารตามธรรมชาติ ช่วยดักจับไขมัน ส่วนเกินได้ดี กอปรเข้ากับสมุนไพรไทยและหัวปลีกล้วยตานี มีสรรพคุณช่วยย่อย บำรุงกระเพาะอาหาร เสิร์ฟคู่ซอส สูตรต้นตำรับ ชิมแล้วจะสัมผัสได้ถึงรสทั้ง 8 คือ เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวาน มัน ขม ฝาด และซ่า ครบรสในจานเดียว ต่อด้วยสำรับเด่น ไข่เป็ดออร์แกนิกซอสพะโล้ไทย ซึ่งเซฟใช้ไข่เป็ดออร์แกนิก ที่นำมาแยกไข่แดงและไข่ขาว โดยไข่แดงจะนำมาแช่ในน้ำมันรำข้าวและดอกเกลือ ตั้งอุณหภูมิอยู่ที่ 77 องศา เป็นเวลา 1 ชั่วโมง เพื่อให้ไข่เป็ด เป็นยางมะตูม ส่วนน้ำจะได้คุ้มจากขาหมูและขาไก่ เพื่อให้ใต้น้ำพะโล้ที่มีคอลลาเจนสูง มีประโยชน์ต่อการรักษา ผิวพรรณ เสิร์ฟพร้อมกับสปันจ์ที่ทำจากข้าวไรซ์เบอร์รี

ส่วนสำรับชื่อแปลกยาวเหยียดแต่มอบรสชาติกลมกล่อม อย่างมหัศจรรย์ ได้แก่ ต้มข่าคาปูชิโน่หมึกหอมบางตะบูน ที่ได้หมึกหอมตัวโต เนื้อแน่น รสหวาน วัตถุดิบคุณภาพดีจาก บางตะบูน หั่นเป็นลูกเต๋า อุ่นด้วยไวน์ขาวจาก พีบีวัลเล่ย์ เขาใหญ่ นาน 3 ชั่วโมงกระทั่งได้เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม และ น้ำมันฝรั่งผสมครีมกะทิ มาตกแต่งให้คล้ายกาแฟคาปูชิโน่ โดยใช้สมุนไพรแก่นตะวัน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับข่า มาช่วย เสริมรสชาติ ทั้งยังให้สรรพคุณช่วยลดความเสี่ยงต่อ โรคเบาหวานได้ เพราะมีแคลอรี่ต่ำ

นอกจากนี้ยังมีสำรับอาหารคาวทยอยเสิร์ฟมาอีก อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ขนมครกแป้งข้าวสดกับคาเวียร์ โครงการหลวงดอยอินทนนท์ ทอดมันปลากรายปากน้ำโพ ขนมเบื้องโบราณกุ้งทะเลไทย ต้มยำกุ้งแม่น้ำ ต้มแซ่บ สมุนไพรโคราชวากิว น้ำพริกมะขามอ่อนทรงเครื่องเรื่องรส แกงคั่วปูยอดมะพร้าวอ่อน และมัสมันออร์แกนิก ซึ่งล้วนเป็น อาหารจานสวยและรุ่มรวยรสเลิศทั้งสิ้น ปิดท้ายด้วยสํารับของหวานที่นำขนมไทยหา รับประทานยาก และขนมขึ้นชื่อของแต่ละท้องถิ่น มารังสรรค์อย่างประณีตวิจิตร ผสมผสานวัตถุดิบพื้นบ้าน อย่างลงตัว ควรค่าแก่การลิ้มลอง อย่าง หม้อแกงเผือก ภูเขาไฟ กับช็อกโกแลตเชียงใหม่ไอศกรีมชาไทย ขนมมัศกอด ขนมเปียกปูนใบเตย ขนมตาลโตนดเพชรบุรี เสิร์ฟมา ขนาดพอดี กำลังอร่อย

CHEF'S TABLE BY CHEF ART

ความรักและความหลงใหลในการทำอาหารของเชฟอาร์ต - ศุภมงคล ศุภพิพัฒน์ หัวหน้าเชฟและผู้ก่อตั้ง Chef's Table by Chef Art คือสิ่งที่ทำให้ร้านอาหารแห่งนี้เป็น Hidden Gem ของผู้ที่รักการตามหาประสบการณ์ที่แสนพิเศษในการ รับประทานอาหารอย่างแท้จริง หากคุณการทานแห่งนี้เป็นครั้งแรก ขอแนะนำว่า อย่าเพิ่งงุนงงหากว่าเดินทางตาม GPS นำทางมาถึงหมุดหมาย หน้าบ้านหลังหนึ่งในซอยเอกมัย 10 แล้ว ทว่ากลับไม่พบ แม้กระทั่งป้ายชื่อร้านใดๆ ขอให้คุณโปรดรออยู่ที่ด้านหน้า ประตูบานใหญ่ เพียงครู่เดียวเท่านั้นประตูบานตรงหน้าจะ เลื่อนเปิดอย่างช้าๆ เผยให้เห็นลานจอดรถและตัวอาคารที่ ปรากฏตราสัญลักษณ์ว่า 'Art' และมีกราฟิกรูป “กล้าย ประดับอยู่ด้านบน เมื่อผลักประตูเข้าไปภายใน จะพบครัวเปิดสไตล์โมเดิร์น ซึ่งเผยให้เห็นการทำงานของทีมเซฟเป็นสิ่งแรก เดินเท้า ผ่านทางเชื่อมเล็กๆ เข้าไปเป็นไอซ์แลนด์บาร์หินอ่อนขนาดใหญ่

CHEF'S TABLE BY CHEF ART

มีโต๊ะนั่งยาวขนาบอยู่ตรงหน้าเป็นที่ที่เซฟอาร์คจะได้พบปะ กับลูกค้า ส่วนรูปกล้วยบนตราสัญลักษณ์ของร้านที่เป็นคำว่า Art นั้น เชฟอาร์ตเฉลยว่ามาจากชื่อเล่นของภรรยานั่นเอง นอกจากนั้นยังมีห้องรับประทานอาหารที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ด้วยแชนเดอเลียร์ ได้แกลมประดับด้วยของตกแต่งที่จะ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามเทศกาล ถึงอย่างนั้นก็มีความอ่อนโยน และเป็นกันเอง ด้วยภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่ เป็นรูปเขียน เชฟอาร์ตที่สนุกกับการทำอาหารอยู่กับสุนัขของเขา โดยศิลปิน ผู้วาดภาพ คือ หู กับสายศิลปินหญิงชื่อดังจากโมหวา ในปี 2022 นี้ ร้าน Chef's Table by Chef Art ใกล้ จะก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 แล้ว สิ่งที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงคือ ที่นี่ เป็นร้านอาหารร้านแรกที่ใช้คอนเซ็ปต์ Chef's Table ใน ประเทศไทย โดยวัฒนธรรมนี้เกิดจากการที่เขาเชิญแขกคนพิเศษ มารับประทานอาหารที่บ้านหรือครัวที่พวกเขาทำงาน จากนั้น จึงพัฒนาจนกลายเป็นการรับประทานอาหารแนวใหม่ ที่หมายถึง การรับประทานอาหารที่ปรุงตามใจเซฟ ซึ่งได้รับความนิยมมาก

CHEF'S TABLE BY CHEF ART

ในปัจจุบัน ทว่าผู้ริเริ่มในเมืองไทยอย่างเชฟอาร์ตกลับยังคง เอาใจใส่ต่อความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ในการเสิร์ฟ แต่ละครั้งเขาด้วยถามลูกค้าก่อนว่าชอบรับประทานวัตถุดิบชนิดใด ตลอดจนการมาเยือนแต่ละครั้ง อาหารที่เสิร์ฟจะเปลี่ยนไปไม่ ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบแต่ละฤดูกาล ครั้งนี้เรามีโอกาสได้ลิ้มลอง 4 เมนูจากเชฟอาร์ต โดย จานแรกคือ Butter Poached Lobster, Seafood Tortellini Roasted Cherry Tomato, Squash & Spinach, Lobster Veloute เนื้อล็อบสเตอร์แคนาดาหอมกรุ่นกลิ่นเนย ท็อปด้วย Royal Oscietra Caviar ไข่ปลาคาเวียร์สุดพรีเมียม

ก่อนรับประทานเซฟจะราดซอสเวลเต้ที่ต้มจากผักกับเปลือกและ หัวของล็อบสเตอร์ ช่วยเพิ่มความเข้มข้นสร้างมิติให้กับ เมนูซีฟูดจานนี้ได้อย่างดี ถัดมาคือ Hokkaido Scallop and Uni, Parmesan Risotto รีซอตโตที่มาพร้อมเม็ดข้าว สุกกำลังดี ชุ่มฉ่ำด้วยซอสปรุงกับพาร์เมซานชีสหอมหวน และ เพลิดเพลินยิ่งขึ้นเมื่อได้รสกับเนื้อสัมผัสของสแกลล็อป ฮอกไกโดตัวอวบอัด ที่ควงคู่มากับรสชาติล้ำลึกของไข่หอยเม่น สดจนได้กลิ่นอายของท้องทะเล

แม้เมนูซีฟู้ดจะเป็นสิ่งที่เชฟอาร์ตโปรดปราน แต่เมนูเนื้อ ของที่นี่ก็มีความพิเศษไม่แพ้กัน French Pigeon, Squash Puree, Pigeon Orange Red Wine Sauce เนื้อนกพิราบ นําเข้าจากฝรั่งเศสในความสุกกำลังดี มาจากการย่างด้วย วิธีคลาสสิกตามตำรับฝรั่งเศสแท้ๆ เนื้อนกแดงนุ่มใน ชุ่มฉ่ำ ด้วยรสชาติของตัวเอง ผสานกับซอสที่ทำมาจากส่วนกระดูก อบกับเพิ่มและไวน์แดง ที่อาจทำให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะกลับมา รับประทานซ้ำแล้วซ้ำอีก และจานสุดท้ายในครั้งนี้คือ Pure Blood Wagyu Beef, Creamy Mashed Potatoes, Sauteed Mushroom, Perigueux Sauce เนื้อที่มาจากวัวสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ๆ ถูกเลี้ยงในฟาร์มอันกว้างใหญ่ ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ใน ประเทศออสเตรเลีย แม้จะเป็นสายพันธุ์ญี่ปุ่นแต่ก็มีมันแทรก ไม่มาก เนื้อจึงนุ่มและแน่นเมื่อย่างจนสุกกำลังดี ซึ่งเชฟอาร์ต ให้ความเห็นว่า หากเนื้อมีมันมากก็อาจจะทำให้สมดุล ของรสชาติที่รับประทานมาตลอดทั้งมื้อเสียไป เขาจึงเลือก เนื้อวัวชนิดนี้มาปรุงเป็นอาหารจานหลัก เพื่อมอบความทรงจำ เคอรสอันสมบูรณ์แบบ

CARNE

Carne ออกเสียงว่า การ์เน่ เป็นคำภาษาสเปน แปลว่าเนื้อ จึงไม่แปลกที่เมื่อก้าวผ่านหลังกำแพงอิฐแดงเข้าไปสู่ ตัวร้านแล้ว คุณจะได้พบกับงานปั้นรูปวัวกระทิงขนาดมหึมา ยืนเด่นรอต้อนรับอยู่บริเวณด้านหน้า เรียกว่าเป็นนัยที่สื่อถึง ทั้งความเป็นชนชาติสเปน พ่วงไปกับความเป็นร้านอาหาร ที่เน้นความอร่อยจากเมนูสารพันเนื้ออีกด้วย

อย่างไรก็ตามนิยามของ Carne ที่แท้จริงแล้ว คือความตั้งใจ ที่จะนำเสนอความรื่นรมย์บนโต๊ะอาหาร อันเกิดจากสัมผัส ของเนื้อหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อหมู และเนื้อปลา โดยผ่านกรรมวิธีการย่าง อบ และรมควัน ซึ่งถือเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของร้าน ภายใต้ ตำรับตำราอาหารที่หยิบยกมาจากประเทศแถบละตินและอเมริกาใต้ ซึ่งค่อนข้างมีเสน่ห์โดดเด่นในเรื่องของเครื่องเทศ และรสชาติจัดจ้านใกล้เคียงกับอาหารไทย ไม่ใช่เพียงแค่รสชาติอาหารเท่านั้น หากทว่าบรรยากาศ ภายในร้านยังพาเหล่านักชิมให้รู้สึกเหมือนได้บินลัดฟ้าไปนั่งชิลอยู่ในแถบประเทศละติน

เพราะการออกแบบตกแต่ง ผมกลมกลืนไปทั้งความเห็นและความหรูหราของสีน้ำตาลเข็ม จากเฟอร์นิเจอร์ไม้และโซฟาหนังผนังปูนเปลือยเผยผิวอิฐแดง มีชั้นเปิดเปลือยที่ประดับประดาไปด้วยท่อนฟืน ตลอดกระทั่ง ครัวเปิดที่ส่งกลิ่นควันหอมกรุ่นจากเทคนิคการย่างและรมควัน ยิ่งปลุกประสาทสัมผัสให้รู้สึกหัวขึ้นมาทันที นอกจากเสิร์ฟอาหารละตินที่ว่าไม่ซ้ำใครแล้ว อีกหนึ่ง เอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือการให้ความสำคัญกับวัตถุดิบคุณภาพ ในท้องถิ่นเมืองไทย โดยคัดสรรนำมาประเคนผสมลงในเมนู ที่แม้จะมีต้นกำเนิดมาจากแถบอเมริกาใต้ หากท้ายที่สุด ในหลายๆ จานก็จะได้รสชาติที่แปลกใหม่ออกไป แถมการันตี ว่าถูกปากได้ใจคนไทยแน่นอน เพื่อเป็นการเปิดรับรสชาติมหัศจรรย์แปลกใหม่ ขอแนะนำ ให้สั่ง Fish Ceviche เป็นจานแรก นี่คืออาหารพื้นเมือง ยอดนิยมของคนละติน ปลากะพงสดปรุงสไตล์เซวิเช ด้วยซอสแบบเปรู แล้วราดด้วยซัลซาชมพู่กับหอมแดง

CARNE

รสออกเปรี้ยวผสมเผ็ดจางๆ ให้ความรู้สึกสดชื่นสมกับเป็น เมนูเรียกน้ำย่อย สมทบด้วยความกรอบเคี้ยวกรุบของมันม่วง ที่นำไปทอดจนกรอบกำลังดี ขยันจากเมนูเนื้อปลามาสู่เนื้อไก่ Grilled Sena Chicken เบญจาหมักกับสมุนไพร ม้วนเป็นรูปดอกกุหลาบนำไปซูวี แล้วตามด้วยย่างให้หนังด้านนอกแห้งเกรียม มีกลิ่นสโมคของ ควันเล็กน้อย รับประทานคู่กับซอสพริกเหลือง (Yellow Chilli Sauce) ซึ่งให้รสหวานของหัวหอม กับเผ็ดปลายนิดๆ เสิร์ฟมาพร้อมยอดฟักแม้วของไทยและควินัว ช่วยเพิ่ม ความหนุบหนับขณะเคี้ยว ความอร่อยพิเศษของจานนี้อยู่ที่ เนื้อไก่เบญจา เพราะเป็นไก่ออร์แกนิก เลี้ยงด้วยข้าวไรซ์เบอร์รี ในฟาร์มเปิดแบบอิสระ

อีกจานหนึ่งที่เรียกความประหลาดใจได้ถึงที่สุดคือ Riso หน้าตาเหมือนรีซอตโต แต่ความจริงแล้วมันคือพาสต้าเมล็ดข้าว หุก จน จนน้น แล้วทับ มิน แถม ผัดสเป็คแฮม (Speck Ham) ผสมลงไปอีก ก่อนเสิร์ฟก็โรยหน้า ด้วยทรัฟเฟิลผ่านอีกชั้นหนึ่ง ควรคลุกก่อนตักเข้าปาก แล้วค่อยๆ ซึมซาบกับรสเค็มมันที่หัวกันอยู่ในกระพุ้งแก้ม เบรกด้วยจานเพื่อสุขภาพอย่าง Roasted Beetroot กันบ้าง บีทรูทอบสมุนไพรในเตาถ่านส่งกลิ่นหอมกรุ่น พร้อมด้วยผักวอเตอร์เครสไร้สารเคมีเพราะปลูกเอง ควินัวขาว และดำ ถั่วพีแคนเคลือบ และ Chilli Green Goddess Dressing สีเขียวสวยสด เป็นงานที่ให้เนื้อสัมผัสมหัศจรรย์ หลากหลายขณะเคี้ยว

CARNE

และแน่นอนว่าต้องจบมื้ออร่อยด้วยเมนูเนื้อ Picanha เนื้อวากิวย่างรสชาติเข้มข้นนุ่มนิ่มละลายในปาก รับประทาน คู่กับซอสพื้นฐานของทางอเมริกาใต้อย่าง Salsa Molcajete เผ็ดจัดจ้านช่วยตัดเลี่ยน คาดว่าน่าจะถูกปากคนไทยเป็นพิเศษ เพราะมีรสชาติคล้ายๆ น้ำจิ้มแจ่วของทางภาคอีสาน เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เพื่อยกระดับความอร่อยคูณสอง แนะนำว่าต้องตักทุกส่วนประกอบให้ครบเครื่องในหนึ่งคำ เพราะจะได้ลิ้มลองทั้งรสชาติและเนื้อสัมผัสอร่อยจน สมบูรณ์แบบ...เซฟแอบกระซิบมาว่าอย่างนั้น