100 มหาเศรษฐ์

ร้านอาหารระดับมิชลิน บิบ กูร์มองด์ สามปีซ้อน (2019 – 2021) ถ่ายทอดความเคารพต่อภูมิปัญญาชาวบ้านและต่อวัฒนธรรมอาหารอีสาน สอดประสานกรรมวิธีการปรุงแบบตะวันตก ภายใต้ศิลปะการจัดจานอันงดงามร่วมสมัย รังสรรค์โดยเชฟชาลี กาเดอร์ เชฟชาวไทย-จีน-อินเดีย ผู้หลงใหลในรสอาหารจัดจ้านของไทย

บ้านไม้หลังเก่าเลขที่ 100 บนถนนมหาเศรษฐ์ ได้รับการปรับโฉมสู่ร้านอาหาร จึงกลายเป็นที่มาของชื่อร้านไปโดยปริยาย งานออกแบบตกแต่งผสมผสานเสน่ห์ของบ้านไทยเข้ากับโรงนา ใช้วัสดุหลากหลายทั้งไม้ โลหะ กระจก และอิฐมอญ ส่วนบริเวณครัวเปิดโล่งมองเห็นทุกความเคลื่อนไหว ด้านหน้าวางเรียงรายไปด้วยสารพันวัตถุดิบเครื่องปรุง ชวนรำลึกถึงครัวไทยสมัยดั้งเดิม

100 MAHASETH

ภายใต้ทักษะการปรุงอาหารอันเอกอุของเชฟชาลี บวกกับการเล็งเห็นถึงคุณค่าของวัตถุดิบในเมืองไทย ที่เชฟตั้งใจคัดเลือกของดีเลิศด้วยตัวเองส่งตรงมาจากฟาร์มของเกษตรกรท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นส่วนหัวถึงหาง หรือส่วนยอดถึงราก เชฟนำมาปรุงเป็นอาหารอีสานจานอร่อยได้ครบรสหมดจด ที่สำคัญยังฉลาดคัดสรรเมนูอีสานมาขึ้นโต๊ะได้อย่างน่าสนใจ

แค่ของทานเล่นที่เสิร์ฟเป็นชุดต้อนรับก็น่าประทับใจแล้ว ประกอบไปด้วยส้มตำไทย ส้มตำปูปลาร้า แคบหมู น้ำพริกแจ่วมะขาม แจ่วมะเขือ และชิมิชูรีสไตล์ไทย พร้อมผักพื้นบ้าน เป็นเครื่องเคียงเซ็ตเล็กๆ แต่อร่อยคำโต และสามารถขอเติมได้เรื่อยๆ จนจบมื้อ

100 MAHASETH

จากนั้นเข้าสู่จานแรก ได้แก่ ยำสับปะรดหอยแครง สับปะรดเนื้อหวานและฉ่ำน้ำยำมากเป็นพิเศษ เพราะนำไปคอมเพรสกับน้ำยำมาก่อนจนเข้าเนื้อเข้มข้น ขณะเดียวกันตัวหอยแครงที่อยู่ชั้นล่างก็มีการใช้น้ำจิ้มซีฟู้ดมาช่วยเพิ่มรสชาติด้วย เติมสีสันด้วยมะเขือส้มน้อย กับก้านคูนหรืออ้อดิบหั่นบางๆ ออนท็อปตรงกลางด้วยถั่วลิสงป่นหยาบๆ เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสในการเคี้ยว

เมนูที่สอง ฮอตดอกไส้อั่ว เชฟต้องการประยุกต์ความโมเดิร์นและฟิวชันเข้าไปในอาหารสตรีทฟู้ดของไทย จึงหยิบแรงบันดาลใจมาจากแฮมเบอร์เกอร์ ไส้อั่วถูกปรุงตามตำราไทยแท้ แต่ปรับภาพลักษณ์ภายนอกให้เป็นอย่างไส้กรอก หอมกลิ่นผักชีใบเลื่อยอยู่ด้านใน เสริมรสด้วยสมุนไพรกับแรดิชดองเติมความเปรี้ยวและกรุบกรอบ ก่อนประกบด้วยขนมปังเพื่อลดทอนรสจัดจ้านของไส้อั่ว เสิร์ฟมาในกล่องสีแดงพิมพ์ชื่อร้านสีเหลืองตัดกัน เป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่บ่งบอกตัวตนของร้านได้ครบทุกมิติ เพราะผสมผสานกรรมวิธีที่ช่วยอวดรสชาติแห่งอีสานให้โดดเด่นยิ่งขึ้นภายใต้หน้าตาที่ดูทันสมัย

ส่วนเมนู ก้อยปลา นำเสนอมาเพื่อให้เกิดกิจกรรมในการรับประทานบนโต๊ะ โดยตักก้อยปลาและข้าววางในแผ่นสาหร่ายไกแล้วห่อป้อนเข้าปาก ยังมี ยำขนมจีนคางหมูทอด ที่ถูกปากมากเป็นพิเศษจากเนื้อสัมผัสเนียนนุ่มของไข่ต้มยางมะตูม ส่วนคางหมูจะมีรสเค็มและกรอบ เพราะผ่านการหมักเกลือตากแห้งแบบหมูเค็ม รสชาติโดยรวมครบองค์ประกอบ มีทั้งความเผ็ด เปรี้ยว หวาน นุ่ม และครีมมี่

มาถึงจานอีสานคลาสสิกอย่าง ก้อยไข่มดแดง ซึ่งเชฟเติมความมันด้วยถั่วแมคคาเดเมียขูดฝอยโรยหน้า เป็นลูกเล่นส่งท้ายรสชาติให้อร่อยซับซ้อนยิ่งขึ้น อีกเมนูห้ามพลาดคือ ลิ้นวัวย่าง ที่นำไปดรายเอจนาน 15 วัน เนื้อจึงนุ่มละมุน หั่นเสิร์ฟมาเป็นชิ้นเล็กๆ โรยหน้างาขี้ม่อนที่มีความกรอบและหอมเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว จิ้มกับซอสรสเปรี้ยวหวาน พร้อมเครื่องเคียงอย่างหัวไชเท้าดองและใบชะมวง ซึ่งมีรสเปรี้ยวในตัวมันเอง ทำให้เป็นคำเล็กๆ แต่ครบเครื่องความแซ่บ

อร่อยลิ้นหนักขึ้นมาอีกหน่อย ด้วย แหนมซี่โครงหมู สิ่งที่ตั้งใจนำเสนอในจานนี้คือกระบวนการถนอมอาหารจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ซึ่งแหนมคือหนึ่งในกรรมวิธีหมักดองตามแบบฉบับโบราณ กัดคำแรกรู้สึกถึงรสเปรี้ยวจางๆ แต่เมื่อยิ่งเคี้ยวความเปรี้ยวจะยิ่งกำซาบเข้มข้นอยู่ในกระพุ้งแก้ม นอกจากเครื่องเคียงพื้นฐานที่ทานคู่กับแหนมตามร้านทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังเพิ่มเติมลูกเล่นมากกว่าด้วยซอสขิง ช่วยเปิดรสชาติอร่อยแปลกใหม่

จบท้ายด้วยของดีจากถิ่นสุรินทร์ นั่นคือ สเต๊กเนื้อ ใช้เนื้อส่วนสตริปลอยน์ย่างสุกกำลังหอมกรุ่น ผิวนอกสีเข้มส่วนเนื้อในแดงสดชุ่มฉ่ำ ยกเสิร์ฟพร้อมชุดเครื่องจิ้มหลากหลาย มีทั้งแจ่วพริกป่น ต้นหอมซอย ผักชีใบเลื่อย ใบมะกรูด ส้มจี๊ด พริก และข้าวคั่ว เพื่อให้นักชิมได้ลองผสมผสานรสชาติที่ถูกใจได้ด้วยตัวเอง อีกอย่างคือชิมิชูรี ซึ่งขอแนะนำให้จิ้มกับเนื้อก่อนเป็นคำแรก เพราะเป็นน้ำจิ้มสูตรพิเศษทางร้านรังสรรค์ขึ้นมาเอง มีความซับซ้อนในรสชาติและหอมกลิ่นสมุนไพร จะได้รสสัมผัสของเนื้อสเต๊กที่อร่อยล้ำไม่ซ้ำใคร

100 MAHASETH

100 มหาเศรษฐ์
เวลาทำการ: 11:30 – 22:30 น.
ที่อยู่: ถนนมหาเศรษฐ์ สี่พระยา กรุงเทพฯ
โทร. 02 235 0023
FB: 100Mahaseth
IG: 100Mahaseth
Line: @100Mahaseth

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD
รับส่วนลด 10% เฉพาะค่าอาหาร / เซลส์สลิป

รับคะแนน KTC สูงสุด X10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด
1 พฤศจิกายน 2566 – 30 เมษายน 2567

บ้านเทพา คิวลินารี สเปซ

จากความประทับใจในแนวคิด ‘Farm to Table’ เมื่อครั้งทำงานอยู่ที่ร้านอาหารชื่อดังระดับรางวัลมิชลินสตาร์สองดาวอย่าง Blue Hill at Stone Barns ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นร้านที่เลือกใช้พืชผักปลอดสารในท้องถิ่นมาเป็นองค์ประกอบหลักในการปรุงอาหาร รวมทั้งยังให้ความสำคัญกับการรักษ์โลกอย่างยั่งยืน จุดประกายให้เชฟตาม - ชุดารี เทพาคำ ลงมือศึกษาค้นคว้าอย่างลึกซึ้ง กระทั่งตัดสินใจเริ่มต้นรังสรรค์ร้านอาหารไทยร่วมสมัยตามแนวทางของตัวเองในชื่อ Baan Tepa Culinary Space และสามารถคว้าดาว Michelin Star Revelation 2023 มาไว้ในครอบครอง

บ้านโบราณสองชั้นที่เป็นมรดกตกทอดมาจากคุณยาย ได้รับการดัดแปลงเป็นฟู้ดสเปซใจกลางเมืองหลวง ตัวอาคารปรับเป็นพื้นที่สำหรับรับประทานอาหาร ส่วนด้านหลังจัดเป็นแปลงปลูกผักสวนครัว ผักพื้นบ้าน และสมุนไพรไทยหายาก ซึ่งเชฟตามก็นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารในหลายๆ จานที่เสิร์ฟ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้เดินเล่นชมสวนก่อนเริ่มลิ้มลองอาหารที่นำเสนอในรูปแบบเทสติ้งเมนูจำนวน 6 คอร์ส และ 9 คอร์ส

เชฟตามตั้งใจสร้างสรรค์อาหารไทยโดยยึดคอนเซ็ปต์ ‘Creative Thai’ ภายใต้รูปโฉมสวยงามทันสมัยและแตกต่าง เอาใจใส่ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกวัตถุดิบตามฤดูกาล เน้นเนื้อสัตว์และผักผลไม้จากเกษตรกรท้องถิ่นไทยหัวใจสีเขียว ที่ทำงานโดยพยายามรักษาความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมไปด้วย นำมาผสมผสานไปกับเทคนิคกรรมวิธีทั้งของไทย ญี่ปุ่น จีน และยุโรป โดยอิงกับรสชาติความเป็นไทยที่คุ้นลิ้น

BAAN TEPA
BAAN TEPA

คอร์สถัดมาตั้งชื่อว่า From the Sea เพราะเชฟนำปลาทะเลไทยมาประยุกต์เข้ากับศาสตร์การทำปลาแบบอิเคะจิเมะ (Ikejime) ของญี่ปุ่น ซึ่งครอบคลุมไปถึงกรรมวิธีการถนอมเนื้อปลาให้สด และการเอจจิงให้เนื้อปลานุ่ม โดยใช้ปลากะมงพร้าวเสิร์ฟมาแบบซาชิมิ จัดเรียงสวยงามมาในเปลือกหอยไม้ไผ่ พร้อมด้วยหอยสังข์มะระ มะนาวนิ้วมือฝานแผ่นบาง ทานคู่กับกะทิคั้นสดหยดน้ำมันพริกเผา และมีคาเวียร์ออนท็อป รสชาติสดชื่นแต่ได้สัมผัสของความครีมมี่ของกะทิ

ในขณะที่เมนู Crab Crab Crab คือรวมมิตรปูไทยหลากชนิดหลายรสชาติ เริ่มด้วยไข่ตุ๋นปูม้าจากสุราษฎร์ธานี เสิร์ฟมาในถ้วย คลุกเคล้าด้วยซอสน้ำพริกไข่ปู เคียงกันในจานคือปูนิ่มจากจังหวัดตรัง แช่น้ำกะทิข้ามคืน ตากแห้งแล้วทอดกรอบ เคลือบผิวด้วยน้ำปู๋ ก่อนโรยกระยาสารทปูนาปิดท้าย ทานกับอัลยอลี (Aioli) ซอสที่ปรุงรสเหมือนแกงเหลืองหน่อไม้ดอง ถือเป็นคอร์สที่ครบทุกมิติรสชาติและทานสนุก ต่อด้วยเมนูที่มีต้นแบบจากสูตรของคุณยาย ได้แก่ Pomfret Curry แกงขี้เหล็กปลาเต๋าเต้ยย่าง จับคู่กับมาร์มาเลดใบขี้เหล็กหมักเพื่อลดความขมแล้วค่อยนำไปผัด ตกแต่งด้วยไข่ปลาเต๋าเต้ยและไข่เค็มขูดโรยหน้าสีเหลืองทองสวยงาม

เมื่อถามถึงคอร์สที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน เชฟตามขอเลือกมาสองเมนู จานแรกคือ Black Squid Ink Dong Dang พาสต้าเส้นด๊องแด๊งแปลกใหม่ในแบบฉบับบ้านเทพา มีจุดเริ่มต้นจากการที่เชฟเดินทางไปท่องเที่ยวที่จังหวัดอุดรธานี และพบวิธีการทำเส้นขนมจีนแบบอีสานที่เรียกว่าเส้นด๊องแด๊ง จึงเลือกมาจับคู่ความอร่อยกับอาหารยอดนิยมของภาคใต้ นั่นก็คือผัดหมึกน้ำดำ เสิร์ฟพร้อมกับปลาหมึกแดดเดียวและตะไคร้สด เป็นการพบกันของสองภูมิภาคที่กลมกล่อมลงตัว

ส่วนเมนูสอง Anatomy of A River Prawn มีหน้าตาสวยเด่นน่าจดจำ หัวกุ้งหยอดซอสน้ำจิ้มซีฟู้ดสมุนไพรสีเขียวสด ลำตัวเป็นกุ้งแม่น้ำตาปีจากสุราษฎร์ธานี ที่ผ่านการย่างแล้วราดซอสมันกุ้ง ส่วนหางสร้างสรรค์จากพริกกับเปลือกกุ้ง จนได้เป็นบิสกิตกรอบรสเผ็ด วางอยู่บนซอสสีดำที่ทำมาจากต้นหอมเผา ตัดเนื้อกุ้งช่วงลำตัวจิ้มกับซอส ก่อนตามด้วยบิสกิตชิ้นกรอบ เนื้อกุ้งนุ่มหวานผสานเข้ากับซอสรสจัด โดยมีเนื้อสัมผัสกรุบกรอบช่วยเพิ่มสีสันความอร่อยสมบูรณ์แบบ

บ้านเทพา คิวลินารี สเปซ
เวลาทำการ: 17.00 – 23.00 น. (หยุดวันจันทร์ - อังคาร)
ที่อยู่: ถนนรามคำแหง บางกะปิ กรุงเทพฯ
โทร. 098 696 9074
Website: www.baantepabkk.com
FB: Baan Tepa Culinary Space
IG: baantepabkk
Line: @baantepa

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD
รับฟรี Seasonal Drink 1 ที่ มูลค่า 490 บาท / คน / คอร์ส
หมายเหตุ: Seasonal Drink ม็อกเทลหรือค็อกเทล

รับคะแนน KTC สูงสุด X10* สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด 1 พฤศจิกายน 2566 – 30 เมษายน 2567

โคด้า แบงค็อก

ไต่ระดับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่นักชิม ที่ปรารถนาจะโลดเต้นไปกับท่วงทำนองอร่อยล้ำแห่งรสชาติอาหารไทยในมาตรฐานสากล สมกับชื่อร้านซึ่งสะท้อนถึงจังหวะดนตรีที่ค่อยๆ ไล่เรียงตัวโน้ตไปสู่ความรื่นรมย์อิ่มเอม

รูปแบบเมนูของ Coda มีแนวทางที่เด่นชัดและน่าสนใจ ทุกจานล้วนปะติดปะต่อมาจากเรื่องราวความทรงจำประทับใจ หลอมรวมไปกับประสบการณ์ด้านอาหารของเชฟแท็ป-ศุภสิทธิ์ ก๊กผล คลุกเคล้าผสมผสานกันจนเป็นเส้นทางอาหารตามแบบฉบับของเขาเอง นำเสนอออกมาเป็นเมนูไทย-จีนที่ได้รับการคิดค้นทดลองเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่จนแทบเดาไม่ได้ ทว่าเมื่อป้อนเข้าปากแล้ว กลับสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณอาหารไทยอันคุ้นลิ้นเต็มคำ

ระหว่างรอเริ่มต้นคอร์ส เชฟจะต้อนรับด้วยขนมปังสูตรทางร้าน โดยตั้งชื่อมันว่า ‘กานเลครองแครง’ เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากขนมครองแครงทอด ตัวกานเลผ่านการเคลือบผิวด้วยน้ำเชื่อม เสิร์ฟมากับเนยที่ตีเข้ากับรากผักชี กระเทียม และพริกไทย กลายเป็นความเผ็ดร้อนอ่อนๆ ช่วยตัดรสหวานได้ลงตัว

จากนั้นจึงได้เวลาบรรเลงเพลงแห่งความเลิศรส ท่วงทำนองแรกเป็น Snacks ที่เรียงร้อยกันมาทั้งหมดสามคำ Tomato หรือน้ำพริกอ่องมะเขือเทศเป็นคำแรกเริ่ม เชฟแท็ปพาย้อนรำลึกถึงวัยเยาว์ขณะอาศัยอยู่กับคุณย่าที่เชียงราย ซึ่งน้ำพริกอ่องฝีมือคุณย่าคือเมนูประจำสำรับ ซี่โครงหมูตุ๋นผัดกับมะเขือเทศ พร้อมด้วยกระเทียมเจียว พริกคั่ว และครีมถั่วหมัก เสิร์ฟมาในรูปแบบทาร์ต รสหวานอมเปรี้ยวและเผ็ดปลาย เหมาะสำหรับเป็นคำแรกเพื่อเปิดรสชาติ

CODA BANGKOK

คำที่สอง Red Curry หน้าตาสวยงามเหมือนดอกไม้ แต่รสข้างในล้วนจัดจ้านจากเครื่องพริกแกงแดง ต้นธารคำนี้มาจากช่วงเวลาที่เชฟทำงานร้านอาหารในออสเตรเลีย เมนูปลาผัดพริกแกงแดงเป็นจานขายดีถูกปากคนต่างชาติ เห็นเป็นทาร์ตชิ้นเล็กๆ แบบนี้ แต่ด้านในอัดแน่นไปด้วยเนื้อปลาทูน่าบลูฟิน ที่ใช้ทั้งเนื้ออากามิ ชูโทโร่ และโอโทโร่ นำไปรมควันด้วยไม้ลำไย เสิร์ฟมาพร้อมเนื้อลำไยเบิร์นไฟให้หอม เพื่อชูรสหวานตามธรรมชาติ กลีบดอกสีขาวตัดแต่งมาจากยอดมะพร้าว ส่วนเกสรนั้นออนท็อปด้วยเบลูกาไฮบริดคาเวียร์

สองคำรสเผ็ดร้อนก่อนหน้า จะได้รับการตัดด้วยความหวานจากเมนูลำดับสาม นั่นคือ Mango ประยุกต์มาจากมะม่วงกินกับปลาย่างและข้าวสวย ซึ่งเป็นจานโปรดของคุณแม่เชฟแท็ป ด้านในไส้ปลาเทราต์ย่างสมุนไพรหอมกรุ่น เสิร์ฟมากับเครื่องยำที่ทำจากข้าวกับแมงโกชัทนีย์ ประดับด้วยมะม่วงน้ำดอกไม้สไลซ์เป็นแผ่นบางๆ จัดวางเรียงชิ้นเสมอกัน แล้วราดด้วยเจลลีส้ม พร้อมหยดเจลน้ำยำช่วยยกระดับความอูมามิ

CODA BANGKOK

ขยับเข้าสู่จังหวะความอร่อยที่เข้มข้นขึ้น ด้วย Cuttlefish เชฟแท็ปติดใจต้มโคล้งปลาย่างฝีมือคุณลุงคนหนึ่ง เมื่อครั้งเดินทางไปทำงานที่สุพรรณบุรี จึงจดจำมาทำเป็นซุปต้มโคล้งปลาหมึก ตัวซุปเคี่ยวขึ้นมาจากกระดูกปลาคินเมะได ก่อนนำไปรีดิวซ์กับสมุนไพรไทยจนเข้มข้น หยดน้ำมันสีเขียวซึ่งได้มาจากกรรมวิธีสกัดพริกขี้หนู ช่วยเติมรสเผ็ดอ่อนๆ เสิร์ฟมากับข้าวปั้นซูชิคลุกเคล้าน้ำสต๊อกปลาหมึก พร้อมด้วยแผ่นปลาหมึกกระดองเบิร์นไฟให้หอมกลิ่นสโมค ตกแต่งใบไดกอนดอง ยูซุเจล และเจลน้ำยำ น้ำซุปสดชื่นลื่นคอ และชัดเจนด้วยกลิ่นอายแบบต้มโคล้ง

และแล้วก็มาถึง Blue Belly เมนูสร้างสรรค์สุดประหลาดใจ เพราะหน้าตาดูคล้ายไอศกรีม แต่สัมผัสที่แท้คือส้มตำไทย กุ้งบลูเบลลีนึ่งคลุกน้ำยำ ซ่อนอยู่ในมะละกอเส้นสดและมะละกอทอดทับซ้อนกันเป็นเลเยอร์ พร้อมครีมทำจากถั่วลิสง ส่วนด้านบนนำแคร์รอตมาสกัดแล้วอบจนกรอบ โรยกุ้งแห้งฝอยอีกชั้น ออนท็อปสุดท้ายด้วยมะเขือเทศซอร์เบต์ ปรุงรสอย่างส้มตำ ลองตักไอศกรีมทานก่อน แล้วชิมน้ำส้มตำตาม จากนั้นค่อยคลุกเข้ากัน รสชาติจัดจ้านแต่เย็นสดชื่น และเข้าถึงเครื่องส้มตำอย่างเต็มคำ สมกับที่เชฟแท็ปภาคภูมิใจยกให้เป็นเมนูเด่นประจำคอร์ส

ส่วน Curry Crab Chawanmushi เป็นเมนูพิเศษที่ขอแนะนำให้สั่งเพิ่ม ไข่ออร์แกนิกตีผสมน้ำสต๊อกปูแล้วนำไปตุ๋น ด้านบนเป็นควินัวคลุกผงกะหรี่กับเครื่องเทศ ตรงกลางตกแต่งด้วยปูม้ากับคาเวียร์ ส่วนด้านข้างเป็นครีมหัวหอมคาราเมลไลซ์ ทั้งจานส่งกลิ่นหอมดึงดูด ตักทานแล้วได้ทั้งเนื้อเนียนนุ่มเคล้าไปกับความกรุบกรอบ มีสัมผัสแห้งๆ ฝาดๆ ของใบกะหรี่ที่ตกแต่งออนท็อป ช่วยตัดเลี่ยนเพิ่มรสกลมกล่อม

จบคีย์โน้ตสุดท้ายของมื้ออร่อยด้วย Bah Bin ขนมบ้าบิ่นนำมาจับคู่กับคาเวียร์ได้อย่างเข้ากัน มีสโมคโคโคนัทมูสช่วยเพิ่มความหวานมัน เป็นจานของหวานไทยที่รสชาติสากลร่วมสมัยเข้ากับบริบทความเป็นไปของร้าน

โคด้า แบงค็อก
เวลาทำการ: 18.00 - 22.00 น.
ที่อยู่: สินธร ทาวเวอร์ ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ
โทร. 083 959 6296
FB: Coda Bangkok
IG: codabangkok
Line: @codabangkok

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD
รับฟรี ขนมบ้าบิ่น (Bah Bin) 1 ที่ มูลค่า 960 บาท / เซลส์สลิป

รับคะแนน KTC สูงสุด X10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด
1 พฤศจิกายน 2566 – 30 เมษายน 2567

กา

ยกขบวนสตรีทฟู้ดของอินเดียและเมนูในความทรงจำครั้งวันวานของ เชฟการิมา อโรรา (Garima Arora) เชฟหญิงที่คว้ารางวัล Asia’s Best Female Chef 2019 และ ได้รับรางวัลอันดับที่ 16 จากลิสต์ของ Asia’s 50 Best Restaurants 2019 และเป็นเชฟหญิงชาวอินเดียเจ้าของมิชลินสตาร์คนแรก มาขึ้นโต๊ะเทสติ้งเมนูหรูหรา โดยผสานจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ากับความร่วมสมัยได้ครบเครื่องลงตัว ทั้งกลิ่นรสและเนื้อสัมผัส

ภายใต้เรือนไทยอายุกว่า 60 ปีหลังนี้ ใครเลยจะคาดคิดว่าด้านในคือร้านอาหารอินเดีย ที่แวดล้อมไปด้วยความหรูหราร่วมสมัยเคล้ากลิ่นอายคอนเทมโพรารี สอดคล้องไปกับแนวทางอาหารที่นำเสนอรสชาติแห่งดินแดนภารตะร่วมสมัย ผ่านกรรมวิธีการปรุงแบบยุคใหม่ ผสานความมุ่งมั่นของเชฟที่ต้องการใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นไทย จัดเสิร์ฟอย่างสวยงามชวนตื่นตาตื่นใจ และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ความเลิศรสที่ไม่เหมือนใคร

คอร์สแรกเป็นจานซิกเนเจอร์ที่ใช้แนะนำตัวแก่นักชิมได้อย่างครบเครื่องเรื่องอาหารอินเดีย ก็คือ Chaat เมนูที่หยิบยืมแรงบันดาลใจมาจากสตรีทฟู้ดชื่อดัง นำมาประยุกต์ด้วยส่วนผสมหลายชั้น ล่างสุดเป็นโยเกิร์ตรสหวาน ขยับขึ้นมาคือพิวเรใบแมงลัก ยังมีเมล็ดทับทิมและหมี่กรอบถั่วลูกไก่ ส่วนแผ่นวงกลมสีแดงด้านบนคือน้ำทับทิมแช่แข็ง แล้วโรยใบชะพลูกับใบชะมวงทอดโดยรอบ ตักทุกส่วนผสมชิมพร้อมกัน ซึมซาบได้ถึงรสชาติอันหลากหลายลงตัวในคำเดียว

GAA
GAA

ตามด้วยสามคำทานเล่นในภาชนะน่ารัก เรียงลำดับจาก Paniyaram เค้กแป้งข้าวหมักแบบแถบถิ่นใต้ สอดไส้เห็ดมอเรลที่ได้จากทางเหนือ แล้วโรยหน้าด้วยถั่วเขียวช่วยปรุงรสสดชื่น คำที่สอง Chili Toast บริยอชโทสต์ออนท็อปด้วยน้ำพริกผักดองและบาฟุนอูนิ จึงมีรสเผ็ดร้อน คำนี้มีต้นแบบมาจากอาหารเช้ายอดนิยมของคนมุมไบ ส่วนคำสุดท้าย Bombay Sandwich แซนด์วิชสไตล์บอมเบย์ที่ใช้แครกเกอร์เป็นฐานรองชีสทอด สโมคโยเกิร์ต ก้านผักชี และมะนาวนิ้วมือ รสเปรี้ยวนิดเผ็ดหน่อย ทานแล้วสดชื่น

ก่อนเข้าสู่เมนูถัดไปล้างปากด้วย Thanda เครื่องดื่มสมุนไพรหอมๆ ประกอบด้วยผักชี มินต์ และมะนาว แล้วจึงถึงคิวของ Corn ข้าวโพดอ่อนย่าง เนื้อกรอบนุ่ม ปรุงรสด้วยเกลือดำหิมาลายัน พร้อมกับพริกป่นและน้ำมะนาว ลอกเปลือกออกแล้วจิ้มกับซอสเนยข้าวโพด เป็นอีกหนึ่งเมนูอร่อยน่าจดจำ

เดินทางมาถึงเมนูสีสวย DIY Tuna Bhel, Khakra ที่อินเดียจะมีของว่างรสเผ็ดคล้ายยำไทย ทางร้านนำเสนอด้วยการใช้ชูโทโร่คลุกเคล้าหอมแดง ซอสพริก ซอสข้าวโพด และน้ำยำพริกส้มซ่า ตักใส่แผ่นทาโก้ป้อนเข้าปากรับรสชาติจัดจ้านครบเครื่อง อีกเมนูสีสันคือ Pork Belly หมูสามชั้นตุ๋นนาน 48 ชั่วโมง นำไปย่างบนเตาถ่านโดยเคลือบผิวด้วยซอสมะขามคาราเมลไลซ์ ตกแต่งทับทิม หอมแดง และก้านผักชีซอย ตามด้วยเมนูสีเขียวสดชื่น Cold Curry แกงกะหรี่ปูม้าแบบเย็นฉ่ำ ทานคู่กับข้าวบาร์เลย์ กรานิต้าแอปเปิล มีกระเจี๊ยบทอด กับตะลิงปลิงคลุกเครื่องเทศวางออนท็อป

GAA

ส่วน Rice n’ Cola เป็นจานในความทรงจำของเชฟ ข้าวกล้องน้ำนมจากสุรินทร์ผัดกับผักดองญี่ปุ่นและเนยอินเดียที่มีรสเข้มข้น จึงเลือกน้ำมะขามโคลาจับคู่มาให้ดื่มตัดเลี่ยนระหว่างคำ เมล็ดข้าวมีความนุ่มกรึบแบบอัลเดนเต้ มอบความรู้สึกเคี้ยวเพลิน ต่อมาเป็น Beef Kebab ปกติแล้วเคบับจะหมักกับนมแล้วย่างเสียบไม้ แต่ทางร้านพลิกแพลงโดยการนำนมมาทำเป็นซอสเต้าหู้รมควัน เนื้อวากิวปรุงกับสมุนไพรไทยและเครื่องเทศแบบมาซาลาก่อนนำไปย่าง กลิ่นจึงหอมกรุ่นอบอวลเต็มกระพุ้งแก้ม

เมนคอร์สสไตล์อินเดียมักเสิร์ฟเมนูมังสวิรัติ จึงเป็นที่มาของ Durian, Khadi, Condiments เมนูสุดสร้างสรรค์จนได้รับการยกย่องให้เป็นจานเด่น แกงทุเรียนคลุกเครื่องเทศย่างเตาถ่าน ราดซอสรสจัดจ้าน ตักทานกับโรตี พร้อมเครื่องเคียงทั้งชัตนีย์มินต์และผัก คุณสมบัติของเครื่องเทศนอกจากช่วยกลบกลิ่นทุเรียนจนสิ้น ยังช่วยเสริมรสกลมกล่อมลงตัวอย่างวิเศษ

เส้นทางสุดท้ายแห่งประสบการณ์รสชาติอินเดีย เรียงรายมาด้วยของหวาน มีทั้ง Black Rice, Lychee Toddy, Frozen Fruits ไอศกรีมข้าวกล้องโยเกิร์ตกับน้ำแข็งไสลิ้นจี่หมัก ได้แรงบันดาลใจจากขนมในอินเดียตอนใต้ Appe Spread เค้กข้าวอบร้อนๆ พร้อมเครื่องเคียง 6 ชนิด มีกล้วยหมักคาราเมล ชัตนีย์น้ำตาลโตนด เนยโฮมเมด ผงกันพาวเดอร์คลุกเนย แยมมะเฟือง และกล้วยไข่ บิเค้กจิ้มซอสตามชอบ แล้วจิบน้ำกล้วยไข่รสหวานฉ่ำตาม สั่งลาด้วย Petit Fours นมถั่วพิสตาชิโอผสมเหล้าอิตาเลียนรสหวาน (Amaretto) ดื่มแกล้มขนมลาดู (Besan Ladoo) ทำจากถั่วบดผสมเนย โดยตลอดมื้อจะมีการจับคู่อาหารกับไวน์ขาวและแดงที่คัดสรรมาให้ช่วยชูรสอย่างเข้ากัน

กา
เวลาทำการ:
วันจันทร์ - ศุกร์ 17.30 – 24.00 น.
วันเสาร์ - อาทิตย์ 12.00 – 15.00 น. และ 17.30 – 24.00 น.
ที่อยู่: ถนนสุขุมวิท 53 วัฒนา กรุงเทพฯ
โทร. 063 987 4747
Website: www.gaabkk.com
FB: Gaa
IG: restaurant_gaa
Line: @GAA BKK Reservation

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD
รับฟรี Juice Paring 5 แก้ว มูลค่า 1,600 บาท / คอร์ส

รับคะแนน KTC สูงสุด X10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด
1 พฤศจิกายน 2566 – 30 เมษายน 2567

คัมซา อารีย์

คำว่า “คัมซา” ย่อมาจากประโยคเต็มๆ ของ “คัมซาฮัมนีดา” หมายถึงขอบคุณในภาษาเกาหลี อีกทั้งยังสื่อโดยตรงถึงร้านอาหารเกาหลีสไตล์ต้นตำรับ ที่มีเชฟหนุ่มเกาหลีชาวปูซานเป็นผู้ดูแลความอร่อยเหมือนได้บินไปรับประทานถึงดินแดนโสม

เอกลักษณ์งานสถาปัตยกรรมเกาหลีอย่างหลังคากระเบื้องโบราณที่นิยมใช้กันในวัดหรือพระราชวังเก่า ถูกสั่งนำเข้ามาใช้ตกแต่งตั้งแต่หน้าประตูทางเข้า ไปกระทั่งโถงต้อนรับและตลอดแนวผนังด้านใน มีการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนด้วยผนังอิฐแบบกำแพงวังหลวง พร้อมทั้งเลือกใช้สีดำสื่อผ่านความหรูหรา

ที่นี่นำเสนออาหารเกาหลีสไตล์ปิ้งย่างอย่างดั้งเดิม พิถีพิถันในการคัดสรรชิ้นส่วนเนื้ออย่างมืออาชีพ บวกกับการเตรียมและการบ่มแบบเวทเอจจิง (Wet Aging) เพื่อรักษาความฉ่ำและทำให้เนื้อนุ่มพิเศษ พร้อมพรั่งสารพันเครื่องเคียงที่ใช้ทานคู่กับอาหารตามรูปแบบที่เสิร์ฟในเกาหลี โดยเน้นประเภทดองเป็นหลัก เพราะมีคุณสมบัติช่วยชูรสหมูและเนื้อได้ดีเลิศ มีทั้งกิมจิรสเปรี้ยวที่เป็นเครื่องเคียงพื้นฐาน กับกิมจิสดที่ทางร้านทำเองทุกวัน ให้รสชาติออกเค็มกว่า นอกจากนี้ยังมีหัวไชเท้าดอง และใบกระเทียมดองนำเข้า ตลอดจนสลัดต้นหอมและผักใบเขียวสด

GAMSA AREE

แม้กระทั่งซอสก็มีให้เลือกมากถึง 5 รสชาติ ได้แก่ ซอสซีอิ๊วหอมใหญ่ บาร์บีคิวซอส สไปซี่ซอส ซัมจัง-น้ำจิ้มปิ้งย่างพื้นฐาน และกีรึมจังที่ปรุงจากน้ำมันงา เกลือ และพริกไทย นอกจากนี้ยังมีวาซาบิสด โฮลเกรนมัสตาร์ด และเกลือที่มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่ไม่เค็มจัด ช่วยชูรสเนื้อวัวให้ยิ่งเด่นชัด

ก่อนจะเข้าสู่เมนูปิ้งย่างซึ่งเป็นอาหารหลัก อยากให้ลองสั่งจานอื่นๆ มาลองชิมดูบ้าง เพื่อสัมผัสรสชาติฉบับเกาหลีได้อย่างครบทุกมิติความอร่อย ขอแนะนำ ไข่หอยเม่นสดและเนื้อวากิวเสิร์ฟคู่กับสาหร่ายเกาหลี เป็นสองคำทานเล่นแนวฟิวชัน ลำพังตัวสาหร่ายจะมีรสขมอ่อนๆ ที่ปลายลิ้น แต่เมื่อรับประทานคู่กับอูนิและเนื้อจะผสมกลมกล่อม รสขมปลายจะกลายเป็นหวานชื่นใจ ช่วยขับรสอูนิให้อบอวลอยู่ในปาก เป็นเมนูช่วยเปิดรสชาติที่ไม่ควรพลาด ส่วนใครอยากได้ความสดชื่นก่อนเริ่มมื้อ สลัดมะเขือเทศ คือทางเลือกที่ดี ความพิเศษอยู่ที่ซอสเพสโตและริคอตตาชีสเป็นโฮมเมดทั้งหมด ทานคู่กับโทสต์ บาแกตต์ และมะเขือเทศปอกเปลือกผ่านการมาริเนท รสชาติอ่อนหวานชื่นใจ

GAMSA AREE

มาถึงเมนูปิ้งย่างที่เป็นจุดขายของร้าน นั่นคือ ซี่โครงเนื้อวากิวหมักซอส ขนาด 500 กรัม เอกลักษณ์การเสิร์ฟปิ้งย่างสไตล์เกาหลี คือการตัดเนื้อมาทั้งชิ้นใหญ่ๆ พร้อมกระดูก แล้วนำไปหมักในน้ำซอส ยกเสิร์ฟมาทั้งชิ้นแบบนั้น ก่อนที่เชฟจะค่อยๆ ย่างอย่างพิถีพิถัน จากนั้นเลาะกระดูกจนเหลือแค่เนื้อ แล้วตัดเสิร์ฟเป็นชิ้นพอดีคำ สัมผัสของเนื้อกรอบนอกแต่นุ่มชุ่มฉ่ำด้านใน ข้อดีของการยกเสิร์ฟมาพร้อมกระดูกก็คือ ลูกค้าจะได้สัมผัสกับไขกระดูกกรุบๆ มีกลิ่นหอมช่วยเพิ่มรสชาติ และเติมความสนุกจากการเคี้ยวมากยิ่งขึ้น

ระหว่างทานจะมีเชฟหรือพนักงานมาคอยให้คำแนะนำในการจับคู่เนื้อกับเครื่องเคียงต่างๆ อาทิ เนื้อจิ้มเกลือเพื่อเริ่มต้นสัมผัสรสเนื้ออย่างแท้จริง กระเทียมดองห่อเนื้อแล้วปาดวาซาบิ หรือจะเป็นเนื้อจิ้มซัมจังห่อด้วยผักสลัดทานเคียงหัวไชเท้ากับสลัดต้นหอมและกิมจิดอง รวมทั้งกิมจิสดห่อเนื้อแล้วจิ้มซอสรสโปรดตามใจชอบ ส่วนเมนู หมูสามชั้นติดกระดูก ขนาด 350 กรัม ก็ดำเนินรอยตามความอร่อยของเมนูเนื้อทุกขั้นตอน แต่พิเศษตรงที่จะมีน้ำปลาร้าเกาหลีรสเค็ม พร้อมกับพริกเขียว และเห็ดแชมปิญองเสิร์ฟเคียงมาเป็นเซ็ต

ทั้งสองเมนูปิ้งย่างถูกยกให้เป็นจานซิกเนเจอร์ เพราะที่นี่คือร้านลำดับแรกๆ ที่มีการย่างหมูและเนื้อทั้งชิ้นใหญ่ๆ ติดกระดูกตามแบบฉบับเกาหลี รวมถึงยังเลือกใช้ถ่านไวท์ชาร์โคล ที่มีคุณสมบัติช่วยดูดควัน การันตีว่าเสื้อผ้าจะไม่เหม็นหลังจบมื้ออาหาร

ขอแนะนำอีกสองเมนูที่ควรคู่แก่การสั่งมาทานกับปิ้งย่าง อย่างแรกคือ สตูว์กิมจิ กระดูกหมูเคี่ยวกับผักและกิมจินานหลายชั่วโมงกระทั่งน้ำงวดซึมซาบเข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว กระดูกหมูเปื่อยนุ่ม ส่วนใบกิมจิที่อยู่ในหม้อสตูว์นำมาห่อทานคู่กับเนื้อหมูสามชั้นได้อร่อยมาก อีกเมนูได้แก่ บะหมี่เย็นเนื้อเกาหลี ยกเสิร์ฟมาในน้ำแข็ง ด้านบนวางเนื้อสไลซ์และไข่ต้ม เส้นบัควีทนุ่มเหนียวเคี้ยวลื่นคอ รสชาติจัดจ้านเข้มข้นแต่ให้ความรู้สึกสดชื่น ทานแล้วช่วยตัดเลี่ยนได้รสชาติกลมกล่อมกำลังดี

GAMSA AREE

คัมซา อารีย์
เวลาทำการ: 13.30 - 22.30 น. (หยุดวันอังคาร)
ที่อยู่: พหลโยธิน 9 ซอยกิ่งชำนาญอักษร กรุงเทพฯ
โทร. 061 939 4997
FB: Gamsa_aree
IG: gamsa_aree
Line: @Gamsa

สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC MASTERCARD
รับฟรี ชาร้อน 1 ที่ (เติมได้ตลอดมื้อ) มูลค่า 150 บาท / เมื่อรับประทานอาหารครบ 2,500 บาทขึ้นไป
หมายเหตุ: ชาร้อน Lotus Tea, Rose Tea, Imperial Chrysanthemum Tea (เลือก 1 ประเภท)

รับคะแนน KTC สูงสุด X10*
สำหรับบัตรเครดิต KTC X WORLD REWARDS MASTERCARD และ KTC WORLD MASTERCARD ทุกประเภท ตามเงื่อนไขที่กำหนด
1 พฤศจิกายน 2566 – 30 เมษายน 2567