ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทใดก็ตาม ทั้งการลงทุนที่ใช้เงินทุนตั้งต้นหลักพัน ไปจนถึงหลักหลายสิบล้าน ล้วนแต่มีความเสี่ยงที่คุณต้องแบกรับ แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงเหล่านั้นลงได้ด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยง ที่มีข้อมูลปลีกย่อยมากมาย และความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึงหลายระดับ นอกจากนั้นลักษณะและระดับความเสี่ยงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการลงทุน สภาวะตลาด และปัจจัยต่างๆ ดังนั้นการตัดสินใจลงทุนด้วยการเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนและความเสี่ยง รวมถึงกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงในการลงทุน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนมือใหม่ทุกคนควรรู้ บทความนี้จะมาบอกสิ่งที่นักลงทุนควรรู้ และวิธีบริหารจัดการ
การลงทุนคืออะไร
การลงทุน คือการจัดสรรเงินทุน เพื่อเพิ่มมูลค่าของเงิน และสร้างผลตอบแทนในอนาคต หรือขายต่อในราคาที่สูงกว่าเพื่อสร้างกำไร การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม สกุลเงิน รวมถึงการลงทุนในธุรกิจต่างๆ โดยแต่ละประเภทมีการลงทุนที่แตกต่างกันมากมาย ทั้งนี้การเลือกประเภทการลงทุนขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงิน ความเสี่ยงที่สามารถรับได้ และระยะเวลาที่ต้องการในการลงทุน
ความเสี่ยงจากการลงทุนมีประเภทใดบ้าง
ความเสี่ยงจากการลงทุนแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ และความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ และมีรายละเอียด ดังนี้
1. ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk)
ความเสี่ยงประเภทนี้มีผลกระทบต่อตลาดเป็นวงกว้าง อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโดยรวม และระบบการเงินทั้งหมด มักจะคาดการณ์ได้ยากและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยปัจจัยสำคัญอันเป็นสาเหตุของความเสี่ยงเชิงระบบ ยกตัวอย่าง ได้แก่
- ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก
- การเปลี่ยนแปลงของสกุลเงิน
- เงินเฟ้อ
- ภาวะดอกเบี้ยสูง
- การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
- ภาวะสงคราม หรือเหตุการณ์สำคัญที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก
2. ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ (Unsystematic Risk)
ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบเรียกอีกอย่างว่า “ความเสี่ยงเฉพาะ” เป็นความเสี่ยงที่ไม่ได้กระทบต่อตลาดโดยรวม และโดยตรง ซึ่งนักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้โดยเลือกกระจายการลงทุน ไม่ลงทุนในสินทรัพย์เดียวกัน โดยมีความเสี่ยงต่างๆ ดังนี้
- ความเสี่ยงทางธุรกิจ รวมถึงปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อรายได้ และผลการดำเนินงานของบริษัท
- ความเสี่ยงด้านการเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทุนของบริษัท ระดับของส่วนผสมหนี้และทุนที่ไม่เหมาะสม
- ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวของฝ่ายบริหาร ในการตัดสินใจที่ถูกต้อง เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- ความเสี่ยงด้านกฎหมายและข้อบังคับ ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มต้นทุน หรือทำให้การดำเนินงานยากขึ้น รวมถึงบริษัทที่ละเมิดกฎหมาย
การลงทุนแต่ละรูปแบบมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
ความเสี่ยงจากการลงทุนมีกี่ระดับ มีอะไรบ้าง
แม้ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ก็มีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของการลงทุน และปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งโดยทั่วไปจะสอดคล้องกับผลตอบแทนที่อาจได้รับ แต่ก็สามารถจัดการได้ด้วยกลยุทธ์ หรือการวิจัยทางเทคนิค
การรู้ระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้ ช่วยให้คุณรู้ว่า ตัวเองเป็นนักลงทุนประเภทไหน ชอบลงทุนแบบระมัดระวัง ไม่ค่อยชอบความเสี่ยง หรือลงทุนแบบเชิงรุก ยอมรับความเสี่ยงได้ ซึ่งการประเมินนี้จะช่วยให้คุณเลือกการลงทุนได้เหมาะสมที่สุด โดยแบ่งความเสี่ยงแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
1. ความเสี่ยงต่ำ
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด มีโอกาสสูญเสียเงินทุนน้อย ผลตอบแทนค่อนข้างคงที่ ขณะเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนที่น้อยเช่นกัน การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำได้แก่
- การฝากธนาคาร เป็นรูปแบบการลงทุนที่ง่าย และมีความเสี่ยงต่ำมากที่สุด เงินฝากมีหลายประเภท เช่น เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ และเงินฝากปลอดภาษี ข้อดีคือมีความคล่องตัวสูง สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ ข้อเสียคือผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ
- กองทุนรวมตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ ข้อดีคือมีความมั่นคง มีดอกเบี้ยที่แน่นอน และมีผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากธนาคาร เหมาะสำหรับมือใหม่ และผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก
2. ความเสี่ยงปานกลาง
เป็นแนวทางการลงทุนที่สมดุล โดยอยู่ระหว่างการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางได้แก่
- หุ้นที่จ่ายเงินปันผล เป็นหุ้นของบริษัทที่จ่ายส่วนหนึ่งของกำไรให้แก่ผู้ถือหุ้นในรูปแบบของเงินปันผล ถือเป็นความเสี่ยงที่มีความเสถียร
- การกู้ยืมแบบ Peer - to - Peer หรือเรียกย่อๆ ว่า P2P เป็นการกู้ยืมระหว่างบุคคลกับบุคคล หรือธุรกิจต่างๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ใช้ออนไลน์ในการเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้กู้ กับผู้กู้
- พันธบัตรองค์กร คือตราสารหนี้ที่บริษัทออก เพื่อระดมเงินทุน มีความเสี่ยงกว่าพันธบัตรรัฐบาล แต่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า
3. ความเสี่ยงสูง
คนส่วนใหญ่ที่ลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง มักจะมองหาโอกาสในการเติบโต หรือค่าผลตอบแทนที่สูง แต่จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินทุนทั้งหมด หรือเสี่ยงการขาดทุนสูง ประเภทของการลงทุนเสี่ยงสูง ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่
- พันธบัตรขนาดเล็ก หรือที่เรียกว่า “มินิบอนด์” (Mini-Bond) เป็นการลงทุนกับบริษัทสตาร์ทอัพ หรือบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้น โดยได้รับผลตอบแทนคงที่ ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด
- หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง มีองค์ประกอบ 2 ส่วน ได้แก่ หุ้นกู้และตราสารอนุพันธ์ มีทั้งความซับซ้อนและความเสี่ยงสูง โดยผลตอบแทนจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของหลักทรัพย์อ้างอิง
- สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies) นับเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างใหม่ ยากต่อความเข้าใจ มีความผันผวน และมีความเสี่ยงสูงมากที่สุด เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือย้อนกลับได้ หากเกิดความผิดพลาดก็อาจสูญเสียเงินได้
นักลงทุนสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างไรบ้าง
การลงทุนมีความเสี่ยง การลดความเสี่ยงทางการเงินให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความสมดุลระหว่างความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และผลตอบแทนที่จะได้รับ ดังนั้นการบริหารความเสี่ยง เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว กลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงในการลงทุน ที่มือใหม่ไม่ควรมองข้าม ได้แก่
- รู้เป้าหมายการลงทุน และอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ เพื่อเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะกับสไตล์ของคุณ เช่น ลงทุนเพื่อเก็บออม หรือลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเร็ว และช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุน
- ประเมินความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง เช่น อายุ รายได้ และระยะเวลาการลงทุน เพื่อหาคำตอบว่า คุณเหมาะกับลงทุนประเภทใดมากที่สุด
- ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีหลากหลายช่องทางให้แสวงหาความรู้ บทวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งจากหนังสือ สื่อออนไลน์ และงามสัมมนา
- รู้กลยุทธ์ในการลงทุนที่เหมาะกับตนเอง เช่น การลงทุนแบบเสี่ยงน้อย - ระยะยาว เสี่ยงปานกลาง - ปรับแผนทุก 3 - 6 เดือน หรือลงทุนแบบความเสี่ยงสูง - ปรับตัวตามสถานการณ์
- รู้จักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น ภาพรวมเศรษฐกิจในปัจจุบัน และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต เพื่อกำหนดกรอบการลงทุนได้อย่างเหมาะสม
- ตัดความผันผวนและความเสี่ยงออกไป นั่นคือการเลือกการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด หรือมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
- จัดสรรสินทรัพย์ลงทุนให้หลากหลาย และไม่ซ้ำซ้อนกันจนเกินไป ทั้งหุ้น พันธบัตร ตราสารหนี้ กองทุนรวม และสินทรัพย์อื่นๆ เช่นอสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ
- กระจายการลงทุนในหลายประเทศ หลากกลุ่มธุรกิจ เพราะเมื่อเศรษฐกิจประเทศใดเกิดวิกฤต ก็ยังมีประเทศอื่นๆ ที่เศรษฐกิจยังดีอยู่
- ลงทุนแบบ “DCA” (Dollar Cost Average) ซึ่งเป็นการลงทุนเป็นงวดๆ ด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กัน เป็นวิธีที่ช่วยสร้างวินัย และทำให้เกิดความต่อเนื่องในการลงทุน
- การขายตัดขาดทุน หรือที่เรียกว่า “Cut Loss” เป็นการวางแผนขายสินทรัพย์ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คาดหวังไว้ และจำเป็นต้องหยุดความเสียหายไว้เท่านี้
- ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยพิจารณาว่าคุณเหมาะกับการลงทุนนั้นๆ หรือไม่ อีกทั้งยังช่วยชี้แนะให้คำแนะนำในด้านการอื่นๆ ของการลงทุน โดยเฉพาะเรื่องของภาษี
ผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการ ลงทุน คุ้มค่าไหม
ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง และผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป ก่อนตัดสินใจลงทุน ควรพิจารณาผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้น และประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนให้มากที่สุด โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง มักมีผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ก็มีความผันผวนของตลาดสูงเช่นกัน ขณะที่การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนที่น้อย แต่คงที่กว่า ทั้งนี้อยู่ที่การตัดสินใจของผู้ลงทุนว่าจะลงเงินไปกับการลงทุนประเภทไหน
ถ้าหากใครที่นำเงินไปลงทุน แล้วทำให้เกิดการขาดสภาพคล่องทางการเงิน อยากมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น แนะนำสมัครบัตรเครดิต KTC ออนไลน์ เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ด้วยระยะเวลาปลอดหนี้ ให้คุณได้มีเวลาหมุนเงินสดเพื่อไปลงทุน และเป็นหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้คุณจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันได้คล่องตัวขึ้น
แน่นอนว่า ผลตอบแทนในการลงทุนมักสูงกว่าการออมเงินในธนาคาร แต่ก็มีความผันผวนสูงกว่า และการลงทุนมีความเสี่ยงกว่าเช่นกัน ขณะที่สภาพคล่องของการลงทุนมักจะต่ำกว่าการออม ซึ่งสามารถเบิกถอนเงินมาใช้ได้สะดวก ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน เช่น หุ้นหรือกองทุนรวม อาจขายได้ง่าย แต่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ อาจต้องใช้เวลานานในการขาย และเปลี่ยนเป็นเงินสดแนะนำให้ศึกษารายละเอียด และวิธีการลงทุนให้ถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง ถ้าใครอยากได้ความรู้เพิ่มเติม เข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC