ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมากระแสของ “คริปโต (Cryptocurrency)” มาแรงและยังคงมีคนให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยเพราะเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ที่ซื้อ-ขายง่าย ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ทำให้การทำธุรกรรมมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมต่ำและทำธุรกรรมได้รวดเร็วกว่า อีกทั้งยังมีความผันผวนของราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหรียญ (Bitcoin) ที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ หรือเหรียญที่อยู่ในกระแส ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากในระยะเวลาอันสั้น แต่อย่างไรก็ตามก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ส่วนใครที่ยังไม่รู้จักคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) จะเริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สาย แนะนำศึกษาข้อมูลได้ในบทความนี้
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คืออะไร
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือ สกุลเงินดิจิทัล หรือสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่ง ซื้อขายได้จริง มีความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยีเข้ารหัส เปรียบเสมือนสกุลเงินแต่จับต้องไม่ได้ เพราะข้อมูลเป็นดิจิทัลบนเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) เป็นระบบการบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ไม่มีตัวกลางควบคุม เช่น ธนาคารหรือรัฐบาล สามารถซื้อ-ขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง
Cryptocurrency มีประโยชน์อะไรบ้าง ?
ประโยชน์ของคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ไม่ใช่เพียงแค่นำไว้ซื้อ-ขาย เพื่อทำกำไรเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย ที่จะช่วยตอบคำถามคนที่อยากรู้ว่าคริปโต เล่นยังไง ได้เป็นอย่างดี
- ใช้ชำระเงินได้จริง ในปัจจุบันนี้มีร้านค้าหลายร้านที่เปิดรับการชำระเงินด้วยเงินคริปโต ซึ่งคุณสามารถนำคริปโตไปใช้จ่ายได้เหมือนเงินจริง แต่เพียงแค่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยยังไม่สามารถใช้ชำระหนี้ตามกฎหมาย
- ซื้อ-ขายได้ 24 ชั่วโมง เป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของการซื้อ และขายคริปโต เพราะว่าคุณสามารถทำธุรกรรมตลอด 24 ชั่วโมง แตกต่างจากหุ้นทั่วไป ทำให้สามารถซื้อมา และขายไปเพื่อทำกำไรได้ทุกเวลา
- มีความปลอดภัยสูง เพราะว่าคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ทำงานอยู่บนบล็อกเชน (Blockchain) เทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่ต้องเข้ารหัสทางคอมพิวเตอร์ ที่ยากต่อการแฮ็ก หรือปลอมแปลงข้อมูล ทำให้คริปโตมีความปลอดภัยสูง
- ค่าธรรมเนียมต่ำ ข้อดีของการทำธุรกรรมด้วยคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) คือมีค่าธรรมเนียมต่ำ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมีความผันผวนตามค่าเงิน ช่วยลดค่าธรรมเนียมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำธุรกรรมระหว่างประเทศ
คริปโต (Cryptocurrency) เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ประเภทหนึ่ง
เหรียญ Cryptocurrency มีกี่ประเภท
หากอยากลงทุนด้วยเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ควรทำความรู้จักกับเหรียญในกลุ่มต่างๆ ที่มีจุดเด่น และรายละเอียดแตกต่างกันไป ซึ่งจะช่วยให้เลือกลงทุนง่ายขึ้น โดยคริปโตถูกแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
1.กลุ่มรักษามูลค่า (Store of Value)
เหรียญในกลุ่มรักษามูลค่าเป็นเหรียญที่ไม่สามารถผลิตขึ้นมาเอง มีจำนวนจำกัด ถ้าหากว่าทุกเหรียญมีการถือครองเป็นเจ้าของแล้ว จะต้องซื้อ-ขายเท่านั้น เนื่องด้วยจำนวนที่จำกัดส่งผลให้มูลค่าเหรียญสูงขึ้น และมีความต้องการสูง ยกตัวอย่างเหรียญในกลุ่มนี้คือ Bitcoin (BTC) หรือ Litecoin (LTC) เป็นต้น
2.กลุ่มสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract)
เหรียญกลุ่มนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างหรือพัฒนาต่อยอดบนบล็อกเชนได้ง่าย เป็นเหรียญที่ทำงานร่วมกับเครือข่ายบล็อกเชนในรูปแบบของสัญญาอัจฉริยะ ตัวอย่างเช่น Polkadot (DOT) และ Ethereum (ETH)
3.กลุ่มส่งต่อมูลค่า (Value Transfer)
จุดเด่นของเหรียญกลุ่มนี้คืออำนวยความสะดวกให้คุณทำธุรกรรมทางการเงินได้รวดเร็ว และมีค่าธรรมเนียมต่ำ ถูกพัฒนาและออกแบบให้ใช้หลักการส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ตัวอย่างเหรียญกลุ่มส่งต่อมูลค่า คือ Ripple (XRP) และ Stellar (XLM) ทำหน้าที่คล้ายกับการโอนเงินข้ามประเทศ หรือ SWIFT
4.กลุ่มเหรียญออราเคิล (Oraclecoin)
โดดเด่นด้วยการบริการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างบล็อกเชนกับภายนอก เพื่อเอื้อให้ DeFi (หรือ Decentralized Finance ซึ่งเป็นระบบการเงินที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชน โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง เช่น ธนาคาร หรือสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม) ดึงข้อมูลมาใช้งาน อาทิ ราคาสินทรัพย์ ราคาเหรียญ หรือข้อมูลต่างๆ โดยตัวอย่างของกลุ่มเหรียญออราเคิล คือ Chainlink (LINK), Pyth Network (PYTH) หรือ Bridge Oracle (BRG) ซึ่งได้รับความนิยมมากสำหรับ NFT Game
5.กลุ่มเหรียญอ้างอิงสกุลเงินหลัก (Stablecoin)
หากใครที่อยากเทรดเหรียญคริปโตที่มีความเสี่ยงไม่สูงมาก เพราะมีการตรึงมูลค่าโดยอ้างอิงตามสกุลเงิน หรือสินทรัพย์ที่ออกโดยรัฐบาล อย่างเช่น USDT ที่มีผันผวนตามสกุลเงิน USD มีอัตราส่วนเทียบเท่าแบบ 1:1 สำหรับสกุลเงินปัจจุบัน (Fiat Currency)
6.กลุ่มเหรียญมีม (Memecoin)
เหรียญกลุ่มมีมถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียน หรือทำให้เป็นกระแส ซึ่งได้รับความสนใจมาก เพราะยิ่งเหรียญประเภทนี้ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้มูลค่าของเหรียญเพิ่มสูงขึ้น แต่มีความผันผวนของราคาสูง
ราคาของ Cryptocurrency เปลี่ยนแปลงจากสาเหตุอะไร
ราคาของเหรียญคริปโตเปลี่ยนแปลงได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาเหตุที่สามารถควบคุม และคาดการณ์ ทำให้เหรียญคริปโตมีความเสี่ยงสูงที่จะลงทุน และคุณอาจจะสูญเสียเงินเป็นจำนวนมากภายในเวลาแค่เสี้ยววินาที โดยสาเหตุต่างๆ มีดังนี้
- อุปสงค์และอุปทาน สาเหตุหลักที่ทำให้มูลค่าของเหรียญเพิ่มขึ้น หรือลดลง เป็นเรื่องของอุปทาน เหรียญที่มีความต้องการสูง หรือมีจำนวนเหรียญในระบบ (Supply) ที่มีจำกัด อย่างเช่น Bitcoin (BTC) จึงมีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากหลักร้อย สามารถกลายเป็นหลักล้าน หรือหลายสิบล้าน ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
- การเทขายหรือสะสมของ Whale หรือนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งการกระทำของ Whale ไม่ว่าจะซื้อหรือขายเหรียญจำนวนมาก สามารถมีอิทธิพลอย่างมากต่อนักลงทุนรายย่อยอย่างมีนัยยะสำคัญ พฤติกรรมของ Whale อาจทำให้เกิดการซื้อตามอย่างรวดเร็ว หรือในทางกลับกัน อาจทำให้เกิดการเทขายเกิดขึ้น เมื่อพวกเขาซื้อ หรือขายเหรียญออกไปเป็นจำนวนมากในคราวเดียว
- ข่าวสาร และความเชื่อมั่น เป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อราคาของเหรียญคริปโตโดยตรง เพราะถ้าหากเหรียญของคุณมีความน่าเชื่อถือสูง หรือมีข่าวสารในเชิงบวก จะส่งผลทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น และซื้อเหรียญเพิ่ม ในขณะเดียวกันถ้าหากมีข่าวสารในเชิงลบ หรือมีข่าวลือในเชิงลบ อาจจะทำให้นักลงทุนเทขายเหรียญในเวลาอันรวดเร็ว
วิธีสร้างรายได้จาก Cryptocurrency
อยากสร้างรายได้จากเหรียญคริปโตไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ซับซ้อน เพราะวิธีการสร้างรายได้ถูกแบ่งออกเป็น 5 วิธีดังนี้
- การซื้อ-ขาย หรือการเทรด (Trading) เป็นวิธีที่สามารถทำกำไรในระยะเวลาอันสั้น เพียงแค่ซื้อ และขายออกตอนเหรียญมีมูลค่าสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจะต้องวิเคราะห์กราฟ และขายในเวลาที่ถูกต้อง
- ทำ Staking ซึ่งเป็นกระบวนการล็อกเหรียญคริปโตไว้ในเครือข่ายบล็อกเชน เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของเครือข่ายและตรวจสอบธุรกรรม เหมาะกับผู้ที่ต้องการถือครองเหรียญในระยะยาว และยังไม่มีแพลนที่จะขายออก สามารถนำไป Staking โดยการถือไว้ใน Wallet ให้ครบเงื่อนไข โดยจะได้รับผลตอบแทนคือดอกเบี้ย คล้ายกับเงินปันผล
- เข้าร่วม Airdrop กิจกรรมการแจกเหรียญคริปโตฟรี ให้กับผู้ที่ตรงเงื่อนไขของโครงการ ปกติแล้วจะมีข้อกำหนด ระบุอย่างชัดเจน แนะนำหากอยากได้เหรียญฟรีให้ติดตามข่าวสารของเหรียญที่มีการอัปเดท หรือออกใหม่
หากได้กำไรจากคริปโทต้องเสียภาษีอย่างไร
การคิดกำไรจากคริปโตต้องวิธีที่มาตรฐานการบัญชีรับรอง เช่น วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) หรือวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving average cost) คำนวณต้นทุนแยกตามประเภทของเหรียญต่างๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- วิธีเข้าก่อนออกก่อน หรือ The first-in first-out (FIFO) ให้คำนวณราคาที่ซื้อมาก่อนจะขายออกไปตามลำดับ โดยนับจากวันที่ซื้อคริปโตมา ณ วันสุดท้าย เป็นจำนวนคริปโตที่ซื้อมาครั้งหลังสุด
- วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือ The moving average cost การคำนวณต้นทุนคริปโต ในแต่ละประเภทจะกำหนดจากการถัวเฉลี่ยต้นทุนของคริปโต เดียวกัน ณ วันต้นปีกับต้นทุนของคริปโตที่ซื้อมาในระหว่างปี
ผู้มีเงินได้สามารถเลือกวิธีคำนวณต้นทุนใดก็ได้ แต่จะต้องใช้วิธีนั้นตลอดปีภาษี โดยต้นทุนให้รวมค่าใช้จ่าย และค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่นๆ และผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในปีเดียวกันนั้นสามารถนำมาหักลบกับกำไรที่เกิดจากคริปโตประเภทใดก็ได้ สามารถอ่านรายละเอียดภาษีคริปโตได้จากเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (https://www.rd.go.th/)
ใครมีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้จากคริปโต
สำหรับบุคคลที่เข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้จำเป็นจะต้องยื่นภาษีเงินได้จากคริปโต
- เงินได้จากการโอนหรือขายคริปโตเคอร์เรนซี เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
- เงินได้จากการขายคริปโตเคอร์เรนซีที่มาจากการขุด
- เงินได้จากผลตอบแทนใดๆ จากการนำคริปโตเคอร์เรนซี ไปหาประโยชน์
ราคาของเหรียญคริปโตสามารถผกผันจากราคาหลักหน่วย ไปจนถึงหลักร้อยได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที ซึ่งต้องอาศัยความไว และมีเงินพร้อมซื้อ-ขายในบัญชีอยู่ตลอดเวลา และการใช้บัตรเครดิตซื้อคริปโตเป็นหนึ่งในความสะดวก หมดปัญหากระแสเงินสดไม่พอ พร้อมช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุน หากใครไม่อยากพลาดการลงทุนในนาทีที่สำคัญ สมัครบัตรเครดิต KTC ออนไลน์ไว้ซื้อคริปโตได้ที่เว็บไซต์ KTC
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC