KW14_AUTUMN_IN_JAPAN

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล แต่ละฤดูกาลก็จะมีความน่าสนใจแตกต่างกันออกไป ฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นเรียกว่า โคโย (Koyo) หรือ ใบไม้เปลี่ยนสี เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงจนถึง 8 องศาเซลเซียส ใบของต้นไม้ต่างๆอย่างเช่นตระกูลต้นเมเปิลทั้งหลาย จะเริ่มผลัดเปลี่ยนสีเป็น สีเหลือง และแดง ภาพของภูเขาที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี แต่งแต้มสีสันสวยสดทั้งสีแดงและเหลืองซึ่งตัดกับวิวธรรมชาติในหุบเขา แม่น้ำ ลำธารได้อย่างลงตัวเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นได้มาเยือนแล้ว

ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกันยายน ถึง เดือนพฤศจิกายน โดยใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี ไล่จากทางภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ของญี่ปุ่น แต่ละพื้นที่ก็จะมีช่วงเวลาที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแตกต่างกันออกไป ซึ่งช่วงเวลาของใบไม้เปลี่ยนสีอาจคลาดเคลื่อนแตกต่างกันไปในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและอุณหภูมิในปีนั้น ๆ ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีไม่ได้มีแต่ทิวทัศน์ที่สวยงามเท่านั้นแต่ยังเป็นฤดูกาลที่เจริญอาหารมากที่สุด โดยในแต่ละภูมิภาคก็จะมีอาหารเลิศรสให้เราชิมมากมาย เช่น ฮอกไกโดจะมีการจัดงานเทศกาลอาหาร อาทิ เทศกาลฮาโกะดาเตะกรูเมต์เซอร์คัส (Hakodate Gourmet Circus) และ เทศกาลเมืองบาร์ (Bar-gai Event) เป็นต้น

กิจกรรมที่มิควรพลาดในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ได้แก่

  • การสวมชุดยูคะตะพร้อมถ่ายรูปไปกับใบไม้เปลี่ยนสี
  • การแช่น้ำแร่อาบน้ำแร่ แช่นม ณ ออนเซ็นกลางแจ้ง ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดงสด
  • การสนุกไปกับเทศกาลหลากหลายที่ยิ่งใหญ่ในโอกินาวะ

การเตรียมตัวไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี อุณหภูมิในฤดูนี้จะเย็นสบาย โดยอุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 10-20 องศาเซลเซียส ถึงแม้อากาศจะไม่หนาวเย็นเท่าฤดูหนาว ควรเตรียมเสื้อคลุมแขนยาวสำหรับกันหนาวไปด้วย เช่น เสื้อยืดแขนยาว เสื้อแขนยาว เสื้อคอเต่าแขนยาว เสื้อคาร์ดิแกน เสื้อคลุม สเว็ตเตอร์กันหนาว ผ้าพันคอแบบหนา กางเกงเล็กกิ้งตัวหนา ถุงน่องแบบหนา ถุงเท้า พร้อมรองเท้าหุ้มส้น มาร่วมสัมผัสบรรยากาศโรแมนติกในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีทั่วญี่ปุ่นด้วยกันเถอะ

แนะนำจุดท่องเที่ยวเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมกิจกรรมเสริมประสบการณ์พิเศษ (คลิกที่ปุ่มเพื่ออ่านเนื้อหา)

ฮอกไกโด (Hokkaido)

ดื่มด่ำใบไม้แดง เต็มอิ่มกับอาหารเลิศรส
Indulge with red leaves, enjoy the delicious food.

เกาะฮอกไกโด (Hokkaido) อยู่เหนือสุดของญี่ปุ่นทำให้เข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเร็วกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีตั้งแต่เดือนกันยายนของทุกปี และในส่วนของเมืองฮาโกะดาเตะ (Hakodate) ซึ่งตั้งอยู่ใต้สุดของเกาะฮอกไกโดนั้นทำให้การชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีช้ากว่าที่ไหนๆ บนเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) ซึ่งช่วงเวลาที่สามารถชมได้นั้นก็คือเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายนอากาศที่แสนร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนจะค่อยๆ เย็นลง ทำให้เที่ยวได้สบายไม่เหนื่อยนัก โดยสามารถตะลอนถ่ายภาพตามจุดต่างๆ ได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นย่านโมโตมาจิ (Motomachi District) ที่มีหอประชุมเมืองฮอกไกโด บ้านเก่าตระกลูต่างๆ และโบสถ์ ในสไตล์ยุโรป หรือจะเป็นย่านโกดังอิฐแดงคาเนโมริ (Kanemori Red Brick Warehouse) เป็นต้นนอกจากนี้บรรยากาศแบบย้อนยุคและเมนูรสเลิศที่ปรุงจากอาหารทะเลสดๆ ทำให้ฮาโกดาเตะ (Hakodate) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของฮอกไกโด (Hokkaido) โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี สำหรับที่ฮาโกะดาเตะกล่าวกันว่าฤดูใบไม้เปลี่ยนสีคือ ฤดูกาลที่เจริญอาหารมากที่สุด ตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองจึงมีการจัดงานกิจกรรมเกี่ยวกับอาหารมากมายซึ่งรวมถึง เทศกาลฮาโกะดาเตะกรูเมต์เซอร์คัส (Hakodate Gourmet Circus) และ เทศกาลเมืองบาร์ (Bar-gai Event) สมกับเป็น ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแห่งการกินอย่างแท้จริงหากมีโอกาสได้ไปเยือนฮาโกะดาเตะในช่วงนี้แนะนำให้ไปเดินเล่นในตัวเมืองเพื่อชมความงามของต้นไม้ตามถนนหนทางต่างๆ ที่แต่งแต้มด้วยสีแดงสวยของฤดูกาล ได้แก่

  • ป้อมโกะเรียวกะคุ (Fort Goryokaku)
  • ปราสาทมัตสึมะเอะ (Matsumae Castle)
  • ภูเขาเอซัน (Esan)
  • อุทยานแห่งชาติโอนุมะ (Onuma Quasi National Park)
  • วัดวาอารามและศาลเจ้ามากมายก็เพลิดเพลินได้ไม่แพ้กัน

สวนสาธารณะมิฮะระชิ (Miharashi Park), ฮอกไกโด (Hokkaido)

สวนสาธารณะมิฮะระชิ (Miharashi Park) หรือมีอีกชื่อว่า สวนโคเซ็ตสึเอ็น (Kosetsu-en Garden) ภายในสวนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเป็นสไตล์แบบสวนญี่ปุ่นอย่างงดงามด้วยต้นไม้นานาพรรณรวมกว่า 150 ชนิดซึ่งเป็นสวนแห่งเดียวในฮอกไกโดที่รัฐบาลประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นสวนยอดนิยมสำหรับการชมใบไม้เปลี่ยนสีด้วยทัศนียภาพอันงดงามน่าประทับใจของต้นไม้ชนิดต่างๆ ทั้งเมเปิ้ลและโดดันทสึทสึจิ (Dodantsutsuji) แต่งแต้มสีสันสวยสดทั้งแดงและเหลืองอีกทั้งมีการจัดงานเทศกาล ฮาโกะดาเตะ โมะมิจี เฟสตา (Hakodate MOMI-G Festa) โดยมีการประดับไฟไลท์อัพตามแนวต้นเมเปิ้ลเป็นทางยาวกว่า 100 เมตร นับเป็นทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางแสงสว่างไสวสวยงามราวกับอยู่ในโลกแห่งความฝันเลยทีเดียว และมีกิจกรรมต่างๆ ให้ได้ลองทำ เช่น มีการจัดนิทรรศการหัตถกรรมประสบการณ์การเรียนรู้รวมทั้ง และมีการแสดงดนตรีสดเล็กๆ เป็นต้น และในช่วงที่จัดงานเทศกาลนั้นตอนกลางคืนอากาศจะหนาวเย็นลงจึงขอแนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นได้ดีเพื่อจะได้เต็มอิ่มกับความงามได้เต็มที่ในย่ามค่ำคืนข้อมูลแนะนำ

สำหรับเทศกาล “ฮาโกะดาเตะ โมะมิจี เฟสตา (Hakodate MOMI-G Festa)” 
กำหนดจัดงานในช่วง 20 ตุลาคม – 11 พฤศจิกายน 2018
ตั้งแต่เวลา 16:00 – 21:00 น.

การเดินทาง จากสถานี Sapporo โดยสารรถไฟ JR Limited Express Super Hokuto ไปลงที่สถานี Hakodate ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นโดยสารรถ Hakodate Bus ไปลงที่ป้าย Kosetsu-en ใช้เวลา 40 นาที

หุบเขาโจซังเค | ฮอกไกโด

หุบเขาโจซังเค (Jozan-kei Valley) อยู่ห่างจากตัวเมืองซัปโปโรไปทางใต้เป็นระยะทาง 26 กิโลเมตร เป็นแหล่งน้ำพุร้อนยอดนิยมท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์เก่าแก่ของหุบเขาแห่งนี้เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1866 เมื่อโจซังซึ่งเป็นพระมาค้นแหล่งน้ำพุร้อนเข้าที่นี่ตามคำแนะนำของชาวไอนุ และได้ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการจนสามารถสร้างฐานหินสำหรับแช่ออนเซ็นได้สำเร็จ จึงเป็นที่มาของชื่อหุบเขาโจซังเคนั่นเอง นักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพของออนเซ็นแห่งนี้ซึ่งจะทวีความงามยิ่งขึ้นเมื่อถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีการเดินทาง:จากสนามบินชินจิโตเสะ มีรถบัสวิ่งตรง โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที หรือขับรถจากซัปโปโร โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 230 ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสี:ต้น – กลางตุลาคมของทุกปี

กอนโดล่าของลานสกีนานาชาติซัปโปโร (Sapporo Kokusai Ski Koyo Gondola)

ลานสกีนานาชาติซัปโปโร (Sapporo Kokusai Ski-jo) เป็นลานสกีที่ได้รับความนิยม ในช่วงที่หิมะยังไม่ตกนั้นจะมี Koyo Gondolaวิ่งให้บริการเฉพาะช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้น(ปลายเดือนกันยายน – ตุลาคม) เพียง 15 นาทีกอนโดล่าจะค่อยๆไต่ระดับจากพื้นดินขึ้นไปถึงสถานีบนยอดเขาราวกับได้เดินเล่นบนอากาศ สามารถชื่นชมภูเขาที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีเบื้องล่าง และมองเห็นทะเลไกลออกไป

ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ (นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป)  : 1,100 เยน (ไป-กลับ)
ผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) : 990 เยน (ไป-กลับ) *(กรุณาแสดงหลักฐานที่ระบุอายุ)
นักเรียนประถม  : 550 เยน (ไป-กลับ)
เด็กเล็กก่อนวัยเรียน : ฟรี
หมู่คณะ : ผู้ใหญ่ 990 เยน เด็ก490 เยน (ไป-กลับ)

กระเช้าไดเซทซึอาซาฮิดาเคะ (Daisetsuzan Asahidake Ropeway)

ภูเขาไดเซทซึ(Daisetsuzan) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น มีชื่อเสียงเพราะที่นี่จะเริ่มมีใบไม้เปลี่ยนสีเริ่มขึ้นเร็วที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะบริเวณภูเขาอาซาฮิดาเคะ (Asahidake)ซึ่งอยู่ในที่สูงนั้น ใบไม้จะเริ่มผลัดเปลี่ยนสีตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม และจะพีคในช่วงกลางเดือนกันยายน

กระเช้าอาซาฮิดาเคะ (Asahidake Ropeway)นั้น เริ่มวิ่งจากสถานี Sanroku บนความสูง 1,100 เมตรจากระดับน้ำทะเล จนถึงสถานี Sugatami ที่ความสูง 1,600 เมตรจากระดับน้ำทะเล โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาทีต่อเที่ยว สามารถชื่นชมทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่และใบไม้เปลี่ยนสีได้จากบนกระเช้า นอกจากนี้ที่สถานี Sugatami ยังมีจุดชมวิวและทะเลสาบให้สามารถเดินเล่นชมวิวบริเวณโดยรอบได้ประมาณ 1 ชั่วโมงด้วย หากเดินทางไปช่วงที่เวลาพอเหมาะพอดีก็อาจจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีไปพร้อมๆกับเห็นหิมะแรกเริ่มก่อตัวบนยอดเขาอาซาฮิดาเคะอีกด้วย ไปดื่มด่ำกับใบไม้เปลี่ยนสีก่อนใครในญี่ปุ่นกันเถอะ

ค่าขึ้นกระเช้า : ผู้ใหญ่ (ตั้งแต่นักเรียนมัธยมต้นขึ้นไป) ไป-กลับ 2,900 เยน / เที่ยวเดียว 1,800 เยน
เด็กเล็ก (นักเรียนประถม) ไป-กลับ 1,450 เยน / เที่ยวเดียว 900 เยน
(ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา กรุณาตรวจสอบในเว็บไซต์อีกครั้ง)

การเดินทาง : จากสถานี Sapporo ขึ้นรถไฟ JR ขบวน Ltd. Exp. Super Kamui มาลงที่สถานี Asahikawa ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นขึ้นรถบัส Asahikawa Electric Railway Bus เที่ยว“Ideyu-go” ลงที่ Asahidake ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง

โซอุนเคียวออนเซ็น และกระเช้าไดเซทซึซัง โซอุนเคียว คุโรดาเคะ (Sounkyo Onsen & Daisetsuzan Sounkyo Kurodake Ropeway)

โซอุนเคียวออนเซ็น(Sounkyo Onsen)นั้น เป็นเมืองน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในฮอกไกโด ให้บรรยากาศในสไตล์ตะวันตก และบริเวณชานเมืองนั้นก็มีเส้นทางเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เรียกว่า“โมมิจิดะนิ(Momijidani)” ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีและน้ำตกอันสวยงามได้พร้อมๆกัน ทั้งยังมีความปลอดภัยเพียงพอแม้สำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการเดินชมธรรมชาติด้วย กระเช้าไดเซทซึซัง โซอุนเคียว คุโรดาเคะ (Daisetsuzan Sounkyo-Kurodake Ropeway)นั้นจะพาขึ้นไปถึงบนชั้น 5 ของเขาคุโรดาเคะ(ที่ระดับความสูง 1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ที่จะได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของภูเขาซึ่งปกคลุมไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีที่แสนงดงามดั่งภาพวาด

การเดินทาง : จากสถานี JR Sapporo ขึ้นรถไฟ JR ขบวน Ltd.Exp. Okhotsk ลงที่สถานี Kamikawa ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที จากนั้นขึ้นรถบัสDohoku มาลงที่ป้าย Sounkyo ใช้เวลาประมาณ 35 นาที

ขี่ม้าเล่นที่ฮาโกะดาเตะโดะซังโกะฟาร์ม (Hakodate Dosanko Farm), ฮอกไกโด (Hokkaido)

ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ม้าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีฟาร์มม้าจำนวนมากและเต็มไปด้วยโปรแกรมขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติ (horse trekking) มากมาย ให้ได้เพลิดเพลินกับวิวสวยๆ ของภูเขาและทะเลสาบอันกว้างใหญ่จากบนหลังม้า ขี่ม้าท่องไปในทุ่งหญ้าและป่าเขาเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศแห่งการผจญภัยที่แตกต่างออกไป ฟาร์มม้าที่มีโปรแกรมขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติให้ได้สนุกกันนั้นมีอยู่ทั่วไปในฮอกไกโดดังนั้นกิจกรรมแสนสนุกที่ไม่ควรพลาด ขอแนะนำกิจกรรมขี่ม้าที่ฮาโกะดาเตะโดะซังโกะฟาร์ม (Hakodate Dosanko Farm) จะได้สัมผัสกับประสบการณ์การขี่ม้าโดะซังโกะ (Dosanko) คือ ม้าสายพันธุ์เก่าแก่ดั้งเดิมของฮอกไกโด มีขนาดตัวเตี้ยเล็ก ที่จะพาเราค่อยๆ เดินไปช้าๆ ตามทุ่งหญ้าท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามที่นี่มีคอร์สขี่ม้าหลากหลายให้เลือก เช่น คอร์สสำหรับผู้ไม่เคยขี่ม้าหรือผู้มีประสบการณ์น้อย สามารถเลือกคอร์สง่ายๆได้ นอกจากนี้ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการขี่ม้าในป่าและจะได้เห็นทิวทัศน์ในมุมมองที่แตกต่างออกไปเมื่ออยู่บนหลังม้า ซึ่งในวันที่อากาศดีฟ้าโปร่งอาจมีโอกาสได้ชมทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาฮาโกะดาเตะ (Mt. Hakodate) และช่องแคบ ทสึงะรุ (Tsugaru Straits) อีกด้วย

พิเศษ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ตั๋วรถไฟ พาสเดินทางราคาพิเศษได้ที่ KTC World Travel Service บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC โทร. 02 123 5050 (ให้บริการทุกวัน 8.00 - 20.00 น.)
โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินไป Sapporo
โปรโมชั่น ตั๋วรถไฟ JR PASS ที่ Sapporo
โปรโมชั่น พาสเดินทางที่ Sapporo

โทโฮคุ (Tohoku)

ทะเลสาบโทวาดะ (Lake Towada), อะโอโมริ (Aomori)

เส้นทางทะเลสาบโทวาดะ (Towada Lake) และลำธารโออิราเสะ (Oirase) แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดอะโอโมริ (Aomori) นั้น ในฤดูใบไม้ร่วงบริเวณริมทะเลสาบและตามภูเขาน้อยใหญ่ที่อยู่รายรอบบริเวณก็มีทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามจับตาให้ได้ชมเช่นกัน โดยทั่วทั้งบริเวณริมฝั่งทะเลสาบจะถูกย้อมให้สวยสดด้วย 3 สี ได้แก่ สีเหลืองของต้นบีช (Beech) สีแดงของต้นเมเปิ้ลและต้นโรแวนญี่ปุ่น (Japanese Rowan) รวมทั้งสีเขียวของต้นสนแดงญี่ปุ่น (Japanese Red Pine) ซึ่งเมื่ออยู่เคียงคู่สีฟ้าของทะเลสาบ ทำให้ภาพทะเลสาบโทวะดะ (Lake Towada) ที่มีทิวเขาฮักโกดะ (Hakkoda) อยู่เบื้องหลัง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ภูเขาที่สวยงามของญี่ปุ่นวิธีการชมความงามของทะเลสาบที่ดีสุดคือการล่องเรือชมวิวที่แสนงดงาม นอกจากนี้ยังสามารถเปิดประสบการณ์พิเศษโดยการพายเรือแคนู เนื่องด้วยระดับสายตาจะอยู่ใกล้กับผิวน้ำ ทำให้สามารถชมสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่อาศัยอยู่ริมน้ำได้แบบใกล้ชิด และสามารถพายเข้าใกล้ริมฝั่งเพื่อชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย หรือจะเดินป่าเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติก็ได้เช่นกันส่วนลำธารโออิระเซะ (Oirase) ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติโทวะดะฮะจิมันไต (Towada-Hachimantai National Park) ต้นน้ำของเส้นทางนี้ไหลลงมาจากเขายะเคยะมะ (Yakeyama) เป็นจุดแรกของการเดินชมธรรมชาติและไปสิ้นสุดตรงจุดที่เรียกว่า เนะโนะคุจิ (Nenokuchi) ซึ่งเป็นจุดที่ลำธารโออิระเซะไหลมารวมกับทะเลสาบโทวะดะ (Lake Towada) มีระยะรวม 14 กิโลเมตร เป็นทางธรรมชาติอันแสนงดงามข้อมูลแนะนำ

สำหรับขากลับแนะนำให้แวะ “โทวาดะโกะออนเซ็น (Towada-ko Onsen)” เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าหลังจากท่องเที่ยวมาทั้งวัน ซึ่งนับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวทะเลสาบโทวาดะแห่งนี้


การเดินทาง จากสถานี Aomori โดยสารรถ JR Bus Tohoku ไปลงที่ป้าย Towada-ko ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที จากนั้นเดินอีก 2 นาที

เก็บแอปเปิ้ลที่สวนแอปเปิ้ลเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki Apple Park), อะโอโมริ (Aomori)

หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมในท้องถิ่นทสึรุงะ (Tsuruga) จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแอปเปิ้ล และที่ “สวนแอปเปิ้ลเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki Apple Park)” ก็มีต้นแอปเปิ้ลกว่า 80 สายพันธุ์รวม 1,500 ต้น พร้อมให้นักท่องเที่ยวได้มาทดลองเก็บผลแอปเปิ้ลจากต้นกันได้ในช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนภายในสวนมีร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ลอย่างน้ำแอปเปิ้ลและพายแอปเปิ้ล รวมทั้งสิ้นมากถึง 1,200 ชนิด และยังมีขนมและอาหารที่ทำจากแอปเปิ้ลมาให้ลองชิมกันอีกด้วยสำหรับโซนของว่างนั้นขอแนะนำให้ลองชิมเมนูแปลกใหม่ไม่เหมือนใครอย่าง “ราเม็งแอปเปิ้ล” สุดสร้างสรรค์แสนอร่อยที่ผสมเนื้อแอปเปิ้ลบดลงไปในแป้ง นอกจากนี้ในสวนแห่งนี้ยังมีสนามเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยของเล่นมากมายรวมทั้งลานสำหรับปิกนิกอีกด้วย จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่มาเที่ยวพร้อมกันทั้งครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง

เส้นทางสายซะโอ เอโค่ ไลน มิยางิ

เส้นทางสายซะโอ เอโค่ ไลน์ (Zao Echo Line) คือเส้นทางถนนเลียบเขาที่ตัดข้ามเทือกเขาซะโอ เชื่อมระหว่างจังหวัดมิยะงิและจังหวัดยะมะงะตะในภูมิภาคโทโฮคุ ถนนเลียบภูเขาเส้นนี้จะเปิดให้ใช้บริการได้ตั้งแต่ช่วงปลายเมษายนของทุกปี ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวชมกำแพงหิมะได้จนถึงช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ส่วนในฤดูร้อน เส้นทางสายนี้จะเต็มไปด้วยต้นไม้แตกใบอ่อนสีเขียวสดชื่นเต็มไปด้วยอิออนประจุลบซึ่งดีต่อร่างกาย และตั้งแต่ช่วงปลายกันยายนจนถึงปลายตุลาคมก็สามารถขับรถเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่อาบไปด้วยสีเหลืองและแดงเพลิงงดงาม หลังจากนั้นเส้นทางสายนี้จะปิดให้บริการตลอดฤดูหนาว และจะเปิดอีกครั้งในช่วงปลายเมษายนปีถัดไป

> การเดินทาง:จากสถานีรถไฟ JR Shiroishi-Zao ขับรถ 40 นาที หรือจากถนน Tohoku Expressway ทางออก Shiroishi IC ผ่านทางหลวงหมายเลข 457 ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

> ฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสี:ปลายกันยายน – กลางตุลาคมของทุกปี

หมู่บ้านน้ำพุร้อนนารุโกะออนเซ็นเคียว (Naruko Onsen-kyo Hot Springs Village), มิยางิ (Miyagi)

onsen-in-tohoku-11onsen-in-tohoku-12

หมู่บ้านน้ำพุร้อนนารุโกะออนเซ็นเคียว (NarukoOnsen-kyo Hot Springs Village)เป็นแหล่งออนเซ็นที่อยู่ในแถบโคเมโดโคโระ (Komedokoro) และโอซากิ (Osaki) ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยะงิ (Miyagi) มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเรื่องคุณสมบัติของน้ำแร่ที่หลากหลายและประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,000 ปี

ที่หมู่บ้านน้ำพุร้อนนารุโกะออนเซ็นแห่งนี้ มีแหล่งน้ำพุร้อนอยู่ 5 แห่ง และมีตาน้ำพุร้อนมากกว่า 370 ตา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดน้ำพุร้อนหรือน้ำแร่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไปถึง 9 ชนิด เรียกว่าสามารถเพลิดเพลินกับการแช่น้ำแร่ได้จนเกือบครบทั้ง 11 ชนิดที่มีอยู่ในญี่ปุ่นเลยทีเดียว นอกจากนี้ในฤดูใบไม้ร่วงที่นี่ยังสวยงามไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี โดยเฉพาะที่หุบเขานารุโกะ (Naruko Gorge) ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาก็เป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง อีกทั้งของที่ระลึกอย่างตุ๊กตาไม้แกะสลักแบบโบราณที่เรียกว่า “นารุโกะ โคเคชิ (Naruko kokeshi)” และ “เครื่องเขินนารุโกะ” ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ JR Tokyo โดยสารรถไฟ Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานี Furukawa
แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟสาย JR Rikuto Line ไปลงที่สถานี Naruko-Onsen
ใช้เวลาทั้งสินประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที

มินะมิดะ ออนเซ็น (Minamida Onsen), อะโอโมริ (Aomori)

onsen-in-tohoku-04onsen-in-tohoku-05

เมื่อพูดถึงแหล่งปลูกแอปเปิลชื่อดังแห่งโทโฮคุคงจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแถบ ทสึกะรุ (Tsugaru) ในจังหวัดอะโอโมริ (Aomori) ที่แหล่งปลูกแอปเปิลชื่อดังแห่งนี้ยังเป็นแหล่งน้ำพุร้อนมินะมิดะออนเซ็น (Minamida Onsen) และมีโรงแรมสไตล์เรียวกังตั้งอยู่ท่ามกลางวิวสวยของภูเขาอิวะกิ (Mt. Iwaki) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในที่ราบทสึกะรุและจังหวัดอะโอโมริอย่าง “มินะมิดะออนเซ็น โฮเตล แอปเปิลแลนด์ (Minamida Onsen Hotel Apple Land)” อีกด้วย

นอกจากเราจะได้เพลิดเพลินกับการอาบน้ำแร่ร้อนที่ช่วยถนอมผิวพรรณแล้ว เอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดในโรงแรมแห่งนี้ก็คือ “ออนเซ็นแอปเปิลกลางแจ้ง” ที่ให้เราได้ลงแช่ในบ่อน้ำแร่ที่เต็มไปด้วยผลแอปเปิลลอยอยู่มากมาย และด้านนอกโรงแรมก็จะมีบริการบ่อน้ำแร่สำหรับแช่เท้าฟรี ซึ่งก็มีแอปเปิลลอยอยู่ด้วยเช่นกัน (เปิดให้บริการช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤศจิกายน และบางครั้งอาจมีเพียงบ่อน้ำแร่ปกติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณผลแอปเปิลที่มีเก็บสำรองไว้)

นอกจากนี้บริเวณรอบๆ โรงแรมยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น “ศิลปะบนผืนนา หมู่บ้านอินะกะดะเตะ (Inakadate Village, Rice Paddy Art) ซึ่งเป็นการปลูกต้นข้าวสีต่างๆ ให้ออกมาเป็นภาพศิลปะแสนสวย สามารถมาเที่ยวชมได้ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายน – 9 ตุลาคม 2017 และ “สวนเซบิเอ็น (Seibi-en Garden)” สวนเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่นที่เป็นแรงบันดาลใจในภาพยนตร์อะนิเมะของสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) เป็นต้น หรือหากสะดวกจะมาเที่ยวออนเซ็นโดยไม่พักค้างแรมก็ย่อมได้

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ JR Tokyo โดยสารรถไฟ Tohoku Shinkansen ไปลงที่สถานี Shin-Aomori แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟ LTD. EXP TSUGARU / JR Ou Line ไปลงที่สถานี Hirosaki แล้วเปลี่ยนเป็นรถไฟ Konan Railway ไปลงที่สถานี Hiraka ใช้เวลาทั้งสินประมาณ 4 ชั่วโมง แล้วเดินต่ออีก 10 นาที (หรือเลือกใช้บริการรถรับส่งฟรีระหว่างโรงแรมและสถานี Hirosaki)

หมู่บ้านน้ำพุร้อนนิวโตออนเซ็นเคียว (Nyuto Onsen-kyo Hot Springs Village), อะคิตะ (Akita)

onsen-in-tohoku-06onsen-in-tohoku-07onsen-in-tohoku-08

หมู่บ้านน้ำพุร้อนนิวโตออนเซ็นเคียว (Nyuto Onsen-kyo Hot Springs Village) ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขานิวโต (Mt. Nyuto) ภายในอุทยานแห่งชาติโทวาดะฮะชิมันไต (Towada-Hachimantai National Park) จังหวัดอะคิตะ (Akita) ที่นี่เต็มไปด้วยบ่อน้ำแร่หรือน้ำพุร้อนมากมาย ตั้งแต่แบบที่ซ่อนตัวอยู่อย่างลับๆ มาเป็นเวลาหลายร้อยปี ไปจนถึงออนเซ็นแบบทันสมัย ที่พักก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ หมู่บ้านแห่งนี้มีออนเซ็นทั้งหมด 7 แห่ง แต่ละแห่งมีแหล่งตาน้ำแร่ของตนเอง เรียกได้ว่ามาที่นี่เพียงแห่งเดียวก็สามารถตระเวนแช่น้ำแร่ในหลากหลายบ่อที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไปได้ครบครันเลยทีเดียว

เพียงชำระค่าบริการประมาณ 600 – 800 เยน ก็จะสามารถลงแช่ออนเซ็นนั้นๆ ได้แล้ว หรือหากเลือกซื้อบัตร “ยุเมะกุริโจ (Yumeguri-cho)” ที่มีจำหน่าย ณ เคาน์เตอร์ต้อนรับของออนเซ็นแต่ละแห่ง (ราคา 1,800 เยน) ก็จะสามารถลงแช่น้ำแร่ของโรงแรมที่อยู่ในบริเวณหมู่บ้านออนเซ็นได้แห่งละ 1 ครั้งโดยไม่ต้องพักค้างคืน (บัตรนี้จำหน่ายให้เฉพาะลูกค้าที่เข้าพักในโรงแรมในหมู่บ้านออนเซ็นเท่านั้น)

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ JR Tokyo โดยสารรถไฟ Akita Shinkansen Komachi ไปลงที่สถานี Tazawa-ko ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 50 นาที จากนั้นขึ้นรถบัสสาย Ugo Kotsu Bus Nyuto Line ไปลงที่ Nyuto Onsen ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen), ยะมะงะตะ (Yamagata)

onsen-in-tohoku-09onsen-in-tohoku-10

กินซังออนเซ็น (Ginzan Onsen) คือแหล่งออนเซ็นในเมืองโอะบะนะซะวะ (Obanazawa City) จังหวัดยะมะงะตะ (Yamagata) เนื่องจากเมื่อกว่า 400 ปีที่แล้ว สถานที่แห่งนี้เคยมีภูเขาซึ่งเป็นแหล่งแร่เงิน จึงเป็นที่มาของชื่อ “กินซัง (Ginzan)” ที่มีความหมายว่าภูเขาเงินนั่นเอง

จุดเด่นของกินซังออนเซ็น คือบรรยากาศบ้านเรือนเก่าแก่อันชวนให้คิดถึงสมัยอดีต ด้วยเรียวกังสไตล์ตะวันตกที่สร้างขึ้นด้วยไม้อายุกว่า 100 ปีที่เรียงรายอยู่มากมายตามสองฝั่งแม่น้ำกินซัง (Ginzan) ซึ่งไหลผ่านใจกลางย่านออนเซ็น และในตอนกลางคืนยังมีการจุดโคมไฟแก๊สสว่างเรืองรองงดงามราวกับภาพในจินตนาการ

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ JR Tokyo โดยสารรถไฟ Yamagata Shinkansen ไปลงที่สถานี Oishida ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาที จากนั้นขึ้นรถบัสประจำทางสาย Ginzan Hanagasa ไปลงที่ป้าย Ginzan Onsen ใช้เวลาประมาณ 25 นาที

โทชิงิ นิกโก้ (Nikko)

นิกโก้ (Nikko) เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาเที่ยวชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีกันโดยเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนของทุกปี น้ำตกริวสึ (Ryuzu Waterfall) ในเมืองนิกโก้ เป็นน้ำตกขนาดกว้าง 10 เมตร สูง 210 เมตร ไหลลงมาอย่างทรงพลังผ่านชั้นลาวาที่เย็นตัวลงหลังการระเบิดของภูเขานันไต (Mount Nantai) ใกล้ๆบริเวณแอ่งฐานน้ำตกมีหินก้อนใหญ่ทำให้น้ำตกแยกออกเป็นสองสาย แลดูคล้ายกับหัวของมังกร จึงเป็นที่มาของชื่อน้ำตกริวสึ ซึ่งมีความหมายว่า “หัวมังกร” นั่นเอง

การเดินทาง:จากสถานี Asakusa ในกรุงโตเกียว ขึ้นรถไฟสาย Tobu Nikko Line มาถึง Nikko ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นขึ้นรถบัสไปยังน้ำตกริวสึ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือขับรถจาก Tokyo โดยใช้ทางด่วน Tohoku Expressway ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง

ฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นิกโก้:กลางตุลาคม – ต้นพฤศจิกายนของทุกปี

พิเศษ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ตั๋วรถไฟ พาสเดินทางราคาพิเศษได้ที่ KTC World Travel Service บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC โทร. 02 123 5050 (ให้บริการทุกวัน 8.00 - 20.00 น.)
โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินไป Sendai
โปรโมชั่น ตั๋วรถไฟ JR PASS ที่ Sendai
โปรโมชั่น พาสเดินทางที่ Sendai

คันโต (Kanto)

ถนนต้นแปะก๊วยที่จิงกูไกเอ็น, โตเกียว (Jingugaien Ginko Avenue)

สวนเมจิจิงกูไกเอ็น (Meiji-jingu Gaien) นั้นมีประวัติศาสตร์อันยาวนานมาแต่สมัยโบราณ มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Meiji Memorial Picture Gallery และสนามกีฬาประเภทต่างๆครบครัน พร้อมทั้งธรรมชาติอันงดงาม ให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มอิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวถนนที่มีต้นแปะก๊วย(หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า กิงโกะ) เรียงรายเป็นแนวยาวว่า 300 เมตรนั้น เป็นจุดที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ เพราะเป็นสถานที่ในโตเกียวที่ผู้คนสามารถมาเดินเล่นกันเพื่อชื่นชมความงามของทิวแถวต้นแปะก๊วยหรือต้นกิงโกะสีเหลืองอร่าม ซึ่งเรียงตัวยาวเป็นเส้นตรง ดูงดงามราวกับภาพวาดเลยทีเดียว และตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคมก็จะมีการจัดงานเทศกาลชมต้นแปะก๊วยที่จิงกูไกเอ็น (Jingugaien Gingko Festival) ภายในงานมีการออกร้านขายของที่ระลึกประเภทงานฝีมือและอาหารต่างๆมากมาย และมีผู้คนมาเที่ยวชมงานกันเนืองแน่นครึกครื้น

การเดินทาง: จากสถานี Tokyo ขึ้นรถไฟ Tokyo Metro Marunouchi Line ใช้เวลาประมาณ 8 นาที มาลงที่สถานี Akasaka-mitsuke จากนั้นขึ้นรถไฟ Tokyo Metro Ginza Line ใช้เวลาประมาณ 3 นาที มาลงที่สถานี Aoyama-itchome หรือสถานี Gaiemmae แล้วเดินประมาณ 5 นาที

สถานีรถไฟโอะคุโออิโคะโจ, ชิซุโอกะ

รถไฟสายอะปุโตะแห่งเทือกเขาเจแปนแอลป์ตอนใต้ (Minami-Alps Aputo Line) เป็นรถไฟระบบ ABT หนึ่งเดียวในญี่ปุ่น วิ่งอย่างเชื่องช้าผ่านหุบเขาในแถบโอะคุโออิ (Okuoi) ท่ามกลางภูเขาสลับซับซ้อนในจังหวัดชิซุโอกะ เดิมสร้างขึ้นเพื่อการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำโออิกาวะ (Oigawa Dam) แต่ปัจจุบัน กลายเป็นรถไฟท่องเที่ยวบริเวณโอะคุโออิ ซึ่งผู้โดยสารจะได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และทัศนียภาพที่เห็นได้จากเส้นทางรถไฟเลียบภูเขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นจุดเส้นทางรถไฟที่ชันที่สุดในญี่ปุ่น สะพานทางรถไฟข้ามทะเลสาบที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น รวมทั้งสถานีโอะคุโออิโคะโจ (Okuoikojo Station) ที่ดูราวกับลอยอยู่เหนือทะเลสาบ เป็นต้น> การเดินทาง:จากสถานี Tokyo ขึ้นรถไฟ Tokaido Shinkansen ไปลงที่สถานี Shuzuoka ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นเปลี่ยนรถไฟสาย Tokaido ไปลงที่สถานี Kanaya แล้วเปลี่ยนเป็นสาย Oigawa Railway ไปลงที่สถานี Senzu ซึ่งเป็นสถานีเริ่มต้นของเส้นทาง Minami-Alps Aputo Line ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที หรือขับรถจาก Tokyo โดยใช้ทางด่วน Shin-Tomei Expressway มาถึงทางออก Kanaya IC ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที จากนั้นขับต่อไปจนถึงสถานีรถไฟ Senzu ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง> ฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โออิกาวะ:กลางตุลาคม – ต้นพฤศจิกายนของทุกปี

ชุเซนจิ นิจิโนะซะโตะ (Shuzenji Nijinosato)

เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของที่นี่คือนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ช้ากว่าที่อื่นๆทั่วประเทศ ป่าเมเปิ้ลกว่า 1,000 ต้นกินพื้นที่ถึงหมู่บ้านหัตถกรรมทะคุมิโนะมุระ (Takumi Village) รวมแล้วมีมากกว่า 2,000ต้น ช่วยแต่งแต้มสีสันสวยสดงดงามให้กับทัศนียภาพรอบๆ นอกจากนี้เมื่อถึงเวลากลางคืนจะมีการจัดไลท์อัพสว่างสวยงามราวกับภาพในจินตนาการ สร้างบรรยากาศที่งดงามแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

การเดินทาง: – จากสถานี JR Tokyo ขึ้นรถไฟ Tokaido Shinkansen ใช้เวลาประมาณ 45 นาที มาลงที่สถานี Mishima จากนั้น ขึ้นรถไฟ Izuhakone Railway Sunzu Line ใช้เวลาประมาณ 30 นาที มาลงที่สถานี Shuzenji แล้วขึ้นรถ Tokai Bus ใช้เวลาประมาณ 20 มาลงที่ Nijinosato
– จากสถานี JR Nagoya ขึ้นรถไฟ Tokaido Shinkansen ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที มาลงที่สถานี Mishima จากนั้น ขึ้นรถไฟ Izuhakone Railway Sunzu Line ใช้เวลาประมาณ 30 นาที มาลงที่สถานี Shuzenji แล้วขึ้นรถ Tokai Bus ใช้เวลาประมาณ 20 มาลงที่ Nijinosato

พิเศษ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ตั๋วรถไฟ พาสเดินทางราคาพิเศษได้ที่ KTC World Travel Service บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC โทร. 02 123 5050 (ให้บริการทุกวัน 8.00 - 20.00 น.)
โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินไป Tokyo
โปรโมชั่น ตั๋วรถไฟ JR PASS ที่ Tokyo
โปรโมชั่น พาสเดินทางที่ Tokyo
โปรโมชั่น บัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยว Tokyo

ชูบุ (Chubu)

เอจิโกะ ยุซะวะ ออนเซ็น (Echigo Yuzawa Onsen)

คือเมืองแห่งออนเซ็นที่คาวาบาตะ ยาสุนาริ นักประพันธ์รางวัลโนเบลใช้เป็นฉากในนิยายเรื่อง “เมืองหิมะ (Snow Country)” แต่เดิมเป็นบ่อน้ำพุร้อนเงียบๆสำหรับการบำบัด แต่ปัจจุบันสามารถเดินทางเข้าถึงได้ง่าย หากมาจากสถานีโตเกียว ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นมาถึงสถานียุซะวะ (Yuzawa Station) ได้โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้น ที่นี่จึงกลายเป็นรีสอร์ทที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเพื่อแช่ออนเซ็นและเล่นสกีกันเป็นจำนวนมาก

การเดินทาง:จากสถานี Tokyo ขึ้นรถไฟ Joetsu Shinkansen ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที

ฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสี:ปลายกันยายน – กลางตุลาคมของทุกปี

หุบเขาคุโรเบะ (Kurobe Gorge), โทยามะ (Toyama)

หุบเขาคุโรเบะ (Kurobe Gorge) ตั้งอยู่ในจังหวัดโทยามะ (Toyama) เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งอยู่ในป่าทางทิศเหนือของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น ตัดผ่านแม่น้ำคุโรเบะ (Kurobe River) และนับเป็นหนึ่งในหุบเขาที่ลึกที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วยแนวหน้าผาสูงชัน ป่าหนาทึบที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นคือหุบเขารูปตัววี (V) ยิ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะยิ่งทวีความงดงามยิ่งใหญ่ตระการตา โดยจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปยัง หุบเขาคุโรเบะ คือสถานีอุนะซุกิ (Unazuki Station) เป็นที่ตั้งของอุนะซุกิ ออนเซ็น (Unazuki Onsen) มีแหล่งช็อปปิ้งและน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดโทยามะซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเช่นโรงแรมและร้านขายของที่ระลึกจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามและไม่ควรพลาด ในหุบเขาคุโรเบะ (Kurobe Gorge) นั้นก็คือจากสถานีอุนะซุกิ (Unazuki Station)

สะพานชินยะมะบิโกะ (Shin-Yamabiko Bridge) คือสะพานสีแดงฉาด โดยการเดินทางโดยรถไฟโทะรกโกะ (Torokko Train) จากสถานีอุนะซุกิไม่ไกลนัก ก็จะผ่านสะพานที่ยาวที่สุดในน่านแม่น้ำคุโรเบะมีความยาวถึง 166 เมตร จุดที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพของสะพานนี้คือดาดฟ้าสังเกตการณ์ยะมะบิโกะซึ่งใช้เวลาเดินเพียงสามนาทีจากสถานีอุนะซุกิ โดยต้นไม้ผลัดใบเปลี่ยนสีอยู่บริเวณนี้มีอยู่ด้วยกันหลากหลายชนิดจึงทำให้เป็นจุดที่สวยงาม ด้วยรูปแบบของใบไม้สีแดง สีส้ม สีเหลือง ตัดกับสีน้ำเงินของแม่น้ำคุโรเบะและสีแดงสดของสะพานจากสถานีคุโรนากิ (Kuronagi Station)

สะพานอะโทบิคิ (Atobiki Bridge) สะพานสูงสีน้ำเงินมีความสูงถึง 60 เมตร และความยาว 64 เมตรทอดข้ามหน้าผาสูงชัน โดยการเดินทางโดยรถไฟโทะรกโกะหลังจากผ่านจากสถานีคุโรนากิก็จะข้ามผ่านสะพานอะโทบิคิ ซึ่งจุดที่แนะนำสำหรับการถ่ายภาพสะพานนี้ก็คือเป็นเดินไปตามทางที่เป็นขั้นบันไดที่รอบล้อมไปด้วยอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีทั้งสองข้างทาง เดินจนไปถึงสะพานท่อระบายน้ำ (Aqueduct Bridge) ซึ่งเป็นจุดถ่ายภาพสะพานอะโทบิคิสีน้ำเงิน พร้อมกับรถไฟสีเหลืองที่ตัดกับใบไม้แดงจากสถานีเคะยากิไดระ (Keyakidaira Station)

ชมทิวทัศน์จากบนสะพานโอคุคะเนะ (Okukane Bridge) ซึ่งสามารถชมทิวทัศน์หุบเขาที่รายรอบอยู่ได้ทั้งหมด สีแสดของตัวสะพานตัดกับสีแดงเหลืองและส้มของใบไม้ทำให้ภาพที่ออกมาเป็นภาพที่สีสันสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง
จุดชมวิวคาวาระ (Kawara Observatory) จุดนี้มีบริการน้ำพุร้อนแช่เท้าได้โดยไม่เสียค่าบริการที่บริเวณแม่น้ำคุโรเบะ พร้อมชื่นชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงไปพร้อมๆ กัน และเมื่อมองขึ้นไปด้านบนเหนือศีรษะก็จะเห็นสะพานโอคุคาเนะ สีแดงเจิดจ้าอยู่ด้านบน จึงเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง

บาบาดะนิ ออนเซ็น (Babadani Onsen) จากสถานีเคะยากิไดระ (Keyakidaira Station) ต้องเดินไปที่ออนเซ็นนี้ประมาณ 3กิโลเมตร เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยใบไม้ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ได้สัมผัสถึงธรรมชาติอันยิ่งใหญ่แต่งแต้มไปด้วยสีสันของต้นไม้ ภายใต้ท้องฟ้าสีครามในขณะที่แช่ออนเซ็นกลางแจ้งเลียบแม่น้ำ โดยบ่ออนเซ็นที่นี่จะแยกเป็นฝั่งชายและหญิง หากใครได้มีโอกาสแวะมาเยือนที่ออนเซ็นแห่งนี้ แนะนำให้เผื่อเวลาสำหรับที่นี่ไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพื่อดูใบไม้เปลี่ยนสีในหุบเขาคุโรเบะ (Kurobe Gorge) อยู่ในช่วงกลางเดือนตุลาคมจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนข้อมูลแนะนำ

หลังจากเดินเล่นจนเหนื่อยแล้ว แนะนำให้แวะค้างคืนที่อุนะซุกิออนเซ็น (Unazuki Onsen) เพราะที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่น้ำใสมาก และได้รับความนิยมในหมู่สุภาพสตรีในฐานะของ “น้ำพุร้อนเพื่อผิวสวย” ที่เมืองออนเซ็นเลียบแม่น้ำคุโรเบะ (Kurobe River) อุนะซุกิออนเซ็น (UnazukiOnsen) แห่งนี้สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ธรรมชาติอันงดงามตามฤดูกาลอย่างเช่นใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงได้จากเรียวกัง (Ryokan) อีกทั้งจะได้เอร็ดอร่อยกับอาหารทะเลจากอ่าวโทยามะ (Toyama Bay) และเหล้าท้องถิ่นที่ผลิตจากน้ำขึ้นชื่อจากหุบเขาอีกด้วย

การเดินทาง จากสถานี Toyama โดยสารรถไฟ JR Shinkansen ไปลงที่สถานี Kurobe Unazuki Onsen ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นเดินถึงทันที

พิเศษ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ตั๋วรถไฟ พาสเดินทางราคาพิเศษได้ที่ KTC World Travel Service บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC โทร. 02 123 5050 (ให้บริการทุกวัน 8.00 - 20.00 น.)
โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินไป Nagoya
โปรโมชั่น ตั๋วรถไฟ JR PASS ที่ Nagoya
โปรโมชั่น พาสเดินทางที่ Nagoya

คันไซ (Kansai)

สวนมิโน, โอซาก้า (Mino Park)

last-season-autumn-leaves-08last-season-autumn-leaves-09

สวนมิโนแห่งนี้ นักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมกับความงามของใบไม้เปลี่ยนสีหลากสีสันทั้งแดง ส้ม เหลือง และเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบไม้เปลี่ยนสีบริเวณน้ำตกมิโน (Minoh falls) นั้นได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักท่องเที่ยว และยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 น้ำตกแห่งญี่ปุ่นอีกด้วย ทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกและสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีก่อให้เกิดภาพที่งดงามเหนือระดับ อิออนประจุลบในน้ำตกและภาพวิวอันสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีจะช่วยปลอบประโลมและผ่อนคลายความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ภายในบริเวณสวนยังมีวัด สะพาน และจุดต่างๆให้เราได้รื่นรมย์กับความงามของใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมทัศนียภาพอันงดงามของญี่ปุ่นอยู่อีกมากมายไม่รู้เบื่อ

การเดินทาง: – จากสถานี JR Osaka อยู่ติดสถานี
– จากสถานี Hankyu Umeda ขึ้นรถไฟ Takarazuka Line ใช้เวลาประมาณ 15 นาที มาลงที่สถานี Ishibashi จากนั้นขึ้นรถไฟ Mino Line ใช้เวลาประมาณ 6 นาที มาลงที่สถานี Mino แล้วเดิน 5 นาที

คุระมะ (Kurama) กับการรถไฟเอซัง (Eizan Electric Railway), เกียวโต (Kyoto)

kyoto-in-autumn-03

แถบคุระมะ (Kurama) อยู่ค่อนไปทางทิศเหนือของใจกลางกรุงเกียวโต สามารถขึ้นรถไฟเอซัง (Eizan Electric Railway) จากสถานีต้นทาง เดะมะชิยะนะงิ (Demachi-yanagi) ซึ่งอยู่เลียบฝั่งแม่น้ำคะโมะ (Kamo River) ในตัวเมืองเกียวโตไปได้ เพียงขึ้นขบวนรถไฟชมวิว คิระระ (Kirara) ไปก็จะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีหลากสีสันสวยสดได้จากหน้าต่างรถบานใหญ่อย่างเต็มตา ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่เริ่มตั้งแต่กลางเดือนจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน และในช่วงฤดูชมอุโมงค์ใบไม้แดง (Maple Tunnel) ท่ามกลางภูเขานั้น ก็จะมีการจัดประดับไฟไลท์อัพในเวลากลางคืนอีกด้วย

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ Kyoto โดยสารรถไฟ JR Nara Line ไปลงที่สถานี Tofukuji ใช้เวลา 3 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ Keihan Electric Railway สาย Keihan Main Line ไปลงที่สถานี Demachi-yanagi ใช้เวลาประมาณ 20 นาที

เวลาทำการ ขบวนรถไฟชมวิว จากสถานี Demachi-yanagi: เที่ยวแรก 06:30 น., เที่ยวสุดท้าย: 20:30 น. โดยประมาณ (อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล)

วัดคุระมะเดะระ (Kurama-dera Temple), เกียวโต (Kyoto)

kyoto-in-autumn-05

เมื่อมาเยือนแถบคุระมะ (Kurama) ซึ่งมี ภูเขาคุระมะ (Mt. Kurama) อันแสนอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติเป็นศูนย์กลาง สถานที่แนะนำให้ไปเที่ยวชมแห่งแรกก็คือ วัดคุระมะเดะระ (Kurama-dera Temple) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสถานที่สถิตย์ของเทงงุ (Tengu) เทพผู้มีใบหน้าสีแดงและจมูกยาวยื่น และยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย ภายในบริเวณวัดอันกว้างขวางจะแน่นขนัดไปด้วยใบไม้สีแดงสวยสดงดงามของต้นเมเปิ้ล นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางขึ้นสู่วัดบนเขาได้อย่างสะดวกง่ายดายโดยการนั่งคุระมะยะมะเคเบิลคาร์ (Kuramayam Cable Car) อีกด้วย

ช่วงเวลาที่เหมาะกับการชมใบไม้เปลี่ยนสี: กลางเดือน – ปลายเดือนพฤศจิกายน

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ Demachi-yanagi  โดยสายรถไฟ Eizan Main Line ไปลงที่สถานี Kurama
ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นเดินไปยังหอหลักของวัด ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
(หรืออาจเลือกใช้บริการ Kuramayama Cable Car ซึ่งอยู่ระหว่างทางเดินขึ้นไป)

ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine), เกียวโต (Kyoto)

kyoto-in-autumn-06kyoto-in-autumn-07

ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine) อยู่ไม่ไกลจากภูเขาคุระมะ (Mt. Kurama) และวัดคุระมะเดะระ (Kurama-dera Temple) เชื่อกันว่าเป็นที่สถิตย์ของเทพเจ้าแห่งน้ำ และยังเชื่อกันว่าเป็นจุดเสริมดวงชะตาแห่งหนึ่งในเกียวโตที่ให้โชคลาภในเรื่องของความรักอีกด้วย ฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสีคือช่วงตั้งแต่กลางเดือนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือการมานั่งชมวิวสวยๆ จากศาลาริวเซนคะคุ (Ryusenkaku) ที่อยู่บริเวณศาลเจ้าหลัก และ บันไดขึ้นสู่ศาลเจ้า ที่เริ่มต้นจากประตูโอโทริอิ (Otorii)  ในเดือนพฤศจิกายนจะมีการจัดงานเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีคิฟุเนะ (Kifune Momiji Festival) ซึ่งในช่วงกลางคืนจะมีการจุดโคมไฟตามถนนหนทางในคิฟุเนะ ให้ดินแดนแห่งเทพเจ้านี้ส่องแสงนวลอยู่ท่ามกลางใบไม้แดง

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ Demachi-yanagi โดยสารรถไฟสาย Eizan Main Line ไปลงที่สถานี Kifuneguchi ใช้เวลา 27 นาที จากนั้นโดยสารรถบัส Kyoto Bus หมายเลข 33 ไปลงที่ป้าย Kifune ใช้เวลา 5 นาที แล้วเดินประมาณ 5 นาที

สะพานโทะเกะทสึ (Togetsu Bridge), เกียวโต (Kyoto)

kyoto-in-autumn-08kyoto-in-autumn-09

ในบรรดาสถานที่ชมใบไม้แดงชื่อดังหลากหลายแห่งของเกียวโต “อะระชิยะมะ (Arashiyama)” เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งการเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีนั้นจะเริ่มต้นจากที่ สะพานโทะเกะทสึ (TogetsuBrige) ที่ทอดตัวข้ามผ่านแม่น้ำคะทสึระ (Katsura River)  จากสะพานแห่งนี้จะได้เพลิดเพลินกับความงดงามของภูเขาอะระชิยะมะ (Arashiyama) ที่สดสวยด้วยสีแดงและเหลืองตัดกันโดดเด่นกับสีเขียวและสามารถถ่ายรูปกับวิวสวยๆ เป็นที่ระลึกระหว่างเดินเล่นริมฝั่งแม่น้ำและบนสะพานได้ ในวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี จะมีการจัดงานเทศกาลชมใบไม้แดงอะระชิยะมะ (Arashiyama Momiji Festival) และช่วงเวลาที่เหมาะแก่การชมใบไม้เปลี่ยนสีคือตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ Kyoto โดยสารรถไฟ JR San’in Main Line ไปลงที่สถานี Saga-Arashiyama ใช้เวลา 15 นาที จากนั้นเดิน 20 นาที

วัดเทนริวจิ (Tenryu-ji Temple), เกียวโต (Kyoto)

kyoto-in-autumn-10kyoto-in-autumn-11kyoto-in-autumn-12kyoto-in-autumn-13

ในบรรดาศาลเจ้าและวัดวาอารามต่างๆ มากมายหลายแห่งในแถบอะระชิยะมะ – ซะงะโนะ (Arashiyama – Sagano) สถานที่ที่อยากให้ทุกท่านลองไปเยือนก็คือมรดกโลก วัดเทนริวจิ (Tenryu-ji Temple) ซึ่งโด่งดังด้วยภาพเขียน มังกรในหมู่เมฆ (Dragon and Clouds) นั่นเอง วัดเทนริวจิสามารถเดินทางไปได้แสนสะดวกง่ายดายจากสถานีรถไฟต่างๆ และมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสี เมื่อมาถึงวัด สิ่งแรกที่จะต้องตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นก็คือความงดงามของ “สวนโซเกนชิ (Sogenchi Garden)” สวนแบบญี่ปุ่นภายในวัด ภาพทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีของ “อะระชิยะมะ (Arashiyama)” ที่สะท้อนลงบนผิวน้ำในสระนั้นสวยงามเกินคำบรรยายเลยทีเดียว นอกจากนี้ในฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสียังสามารถเข้านมัสการ “วัดโฮกงอิน (Hogon-in Temple)” อันขึ้นชื่อ และมีการจัดประดับไฟไลท์อัพในยามค่ำคืนอีกด้วย ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเป็นโอกาสดีที่จะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของวัดเทนริวจิ และความงามที่แท้จริงของเกียวโตได้ลึกซึ่งยิ่งขึ้น ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่คือช่วงตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ Kyoto ขึ้นรถไฟ JR San’in Main Line ไปลงที่สถานี Saga-Arashiyama ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นเดินประมาณ 15 นาที

ขบวนรถไฟโทะรกโกะสายซะงะโนะ (Sagano Torokko Train), เกียวโต (Torokko)

kyoto-in-autumn-14kyoto-in-autumn-15

ขบวนรถไฟโทะรกโกะสายซะงะโนะ (Sagano Torokko Train) คือขบวนรถไฟท่องเที่ยวที่แล่นจากซะงะโนะ (Sagano) ในแถบอะระชิยะมะ (Arashiyama) ไปตามหุบเขาเลียบแม่น้ำในคะเมะโอกะ (Kameoka) เป็นเวลา 25 นาที หากได้นั่งรถไฟโทะรกโกะที่แล่นไปท่ามกลางธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของภูเขาในเกียวโต ทำให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามน่าตื่นตาตื่นใจที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงและเหลืองได้อย่างเต็มอิ่ม และเป็นบรรยากาศที่แตกต่างกับการชมสวนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ฤดูชมใบไม้เปลี่ยนสีเริ่มต้นในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม ซึ่งเมื่อรถไฟแล่นผ่านจุดสวยๆ คนขับก็จะลดความเร็วในการเดินรถลงเพื่อให้ผู้โดยสารได้มีเวลาชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีได้นานขึ้น และยังมีเวลาพอที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย

การเดินทาง จากสถานีรถไฟ Kyoto โดยสารรถไฟสาย JR San’in Main Line ไปลงที่สถานี Saga-Arashiyama ใช้เวลา 15 นาที จากนั้นเดินประมาณ 5 นาที

พิเศษ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ตั๋วรถไฟ พาสเดินทางราคาพิเศษได้ที่ KTC World Travel Service บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC โทร. 02 123 5050 (ให้บริการทุกวัน 8.00 - 20.00 น.)
โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินไป Osaka
โปรโมชั่น ตั๋วรถไฟ JR PASS ที่ Osaka
โปรโมชั่น พาสเดินทางที่ Osaka
โปรโมชั่น บัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยว Osaka

ชูโกคุ (Chukoku)

ภูเขาไดเซ็น (Mt. Daisen), ทตโตริ (Tottori)

ภูเขาไดเซ็น (Mt. Daizen) เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในภูมิภาคชูโงะคุ (Chugoku) และเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดทตโตริ (Tottori) ในอดีตเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ภูเขาแห่งพระเจ้า” และเป็นที่ปฏิบัติธรรมของเหล่านักบวช โดยภูเขาอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,729 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดทตโตริ ส่วนหนึ่งของภูเขาไดเซ็นเป็นอุทยานแห่งชาติไดเซ็น-โอกิ (Daisen-Oki National Park) ด้วยความอุดมสมบูรณ์จึงถูกยกให้เป็น 1 ใน 100 ภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นด้านบนภูเขามีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น วัดไดเซ็นจิ (Daisenji) และศาลเจ้าโอกะมิยะมะ (Ogamiyama Shrine) เป็นต้นในฤดูใบไม้ร่วงป่าบีชที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นฝั่งตะวันตกจะถูกย้อมเป็นสีเหลืองทองสดใส และจุดเด่นของที่นี่คือมีจุดชมวิวที่สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ใบไม้เปลี่ยนสีหลากสีสันอยู่หลายแห่งโดยรอบ ซึ่งจากแต่ละแห่งแต่ละมุมก็ให้ความงามน่าประทับใจที่แตกต่างกันออกไปกิจกรรมสนุกๆ ที่ภูเขาไดเซ็น (Mt. Daizen) อย่างการขี่ม้า ปั่นจักรยาน ตั้งแคมป์ ปีนเขา เดินป่า รวมทั้งการเดินชมธรรมชาติไปตามเส้นทางต่างๆ หรือปีนภูเขาไดเซ็นไปสู่ยอดสูงสุดก็ได้ บริเวณใกล้ๆ ยอดเขามีพรรณไม้เขตอัลไพน์แปลกๆ หาดูยาก บริเวณกลางเขามีนกป่าหลากชนิด และลงมาบริเวณเชิงเขาก็จะมีสุนัขจิ้งจอกและทานุกิโผล่มาให้เห็นบ้าง จากจุดชมวิวคะงิคะเคะโทเงะ (Kagikake-toge Observatory) สามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงาม และได้เดินป่าเพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพื่อดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ภูเขาไดเซ็น (Mt. Daizen) อยู่ในช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายนข้อมูลแนะนำ

เทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีภูเขาไดเซ็น (Mt. Daisen Autumn Leaves Festival) ที่วัดไดเซ็นจิ (Daisenji Temple) ใกล้ๆ กับภูเขาไดเซ็น ในช่วงเวลากลางคืนจะมีการประดับไฟไลท์อัพสาดส่องใบเมเปิ้ลสีแดงสว่างไสวดูงดงามราวกับภาพแห่งความฝันเลยทีเดียว


การเดินทาง จากสถานี Okayama โดยสารรถไฟ JR Hakubi Line Limited Express Super Yakumo ไปลงที่สถานี Yonago ใช้เวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นโดยสารรถ Nihon Kotsu Bus Daisen Line ไปลงที่ป้าย Daisenji ใช้เวลา 50 นาที

กิจกรรมปีนเขา เดินป่า และขี่จักรยานชมวิวที่ภูเขาไดเซ็น (Mt. Daisen), ทตโตริ (Tottori)

สำหรับผู้ที่ต้องการหากิจกรรมทำสนุกๆ ขอแนะนำกิจกรรมเดินเขาที่ภูเขาไดเซ็น (Mt. Daisen) ซึ่งสูง 1,709 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีหลากหลายเส้นทางในการเดินให้เลือกสรร ทั้งป่าบีชโบราณ ทุ่งหญ้าอัลไพน์ เดินตามไหล่เขา ดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดเขา หรือจะเดินตามจิตวิญญาณในเส้นทางศักดิ์สิทธิ์ไดเซ็น (Mt. Daisen) โดยปกติใช้เวลาเดินจากปากทางเดินขึ้นไปจนถึงยอดเขาจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงต่อเที่ยว การเดินเขาที่นี่นั้นไม่ยาก ผู้ที่ไม่เคยเดินเขามาก่อนก็สามารถเดินขึ้นเขาได้ แต่ไม่ควรลืมติดอุปกรณ์สำหรับเดินเขามาด้วยนอกจากนี้จากไดเซ็นสกีรีสอร์ท (Daisen Ski Resort) ใกล้ๆ กับภูเขาไดเซ็นก็มีบริการทัวร์ปั่นจักรยานเสือภูเขาลงมาตามเนินเป็นระยะทางราว 15 - 22 กิโลเมตรไว้บริการอีกด้วย ซึ่งการได้ขี่จักรยานโลดแล่นลงมาตามเส้นทางชนบทที่งดงามด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ไปท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงนั้นน่าจะเป็นกิจกรรมที่ทำให้มีความสุขอย่างมากเลยทีเดียว

พิเศษ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ตั๋วรถไฟ พาสเดินทางราคาพิเศษได้ที่ KTC World Travel Service บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC โทร. 02 123 5050 (ให้บริการทุกวัน 8.00 - 20.00 น.)
โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินไป Hiroshima
โปรโมชั่น ตั๋วรถไฟ JR PASS ที่ Hiroshima
โปรโมชั่น พาสเดินทางที่ Hiroshima

คิวชู (Kyushu)

ศาลเจ้าดะไซฟุ เท็มมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine)

last-season-autumn-leaves-13last-season-autumn-leaves-14

สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัดฟุคุโอกะ คือศาลเจ้าดะไซฟุ เท็มมังกู (Dazaifu Tenmangu) นักท่องเที่ยวจะได้ตื่นตะลึงกับความงามของใบไม้เปลี่ยนสีสีสันสดใสสวยงามเต็มไปทั่วบริเวณ เปี่ยมด้วยบรรยากาศน่ารื่นรมย์แห่งฤดูใบไม้ร่วง รอบๆภายในบริเวณศาลเจ้าคือจุดที่เหมาะสมที่สุดแก่การเดินเล่นชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสี นอกจากนี้ เมื่อเดินจากศาลเจ้าดะไซฟุเท็มมังกูไปประมาณ 5 นาที ก็จะถึงวัดโคเมียวเซนจิ ซึ่งเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่ง และมีคาเระซันซุย (Karesansui) หรือสวนหินญี่ปุ่นที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุดในแถบคิวชูอีกด้วย

การเดินทาง: – จากสถานี JR Hakata เดิน 3 นาที
– จาก Hakata Bus Terminal ขึ้น Nishitetsu Bus ใช้เวลาประมาณ 45 นาที มาลงที่สถานี Dazaifu จากนั้นเดิน 8 นาที

สวนมิฟุเนะยะมะ ระคุเอ็น (Mifuneyama Rakuen Garden)

สวนมิฟุเนะยะมะ ระคุเอ็น เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดกว้างใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 3 ปี เปี่ยมไปด้วยความงามในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ใบเปลี่ยนสีจะแน่นขนัดไปด้วยต้นไม้ที่มีสีแดง สีส้ม สีเหลือง ให้เราได้รื่นรมย์กับความงามของของธรรมชาตินั้น โดยที่สวนนี้มีต้นไม้สีแดงสวยกว่า 500 ต้น สร้างบรรยากาศเข้ากันกับสถาปัตยกรรมแบบเก่าอีกฟากฝั่งของชายหาดได้อย่างดีเยี่ยม รับรองว่าเมื่อได้เห็นแล้วจะต้องอยากเก็บภาพความทรงจำนั้นไว้ในภาพถ่ายอย่างแน่นอน

สำหรับตอนกลางคืนมีการจัดไฟไลท์อัพ นักท่องเที่ยวก็จะสามารถเดินชมได้ทั่วทุกบริเวณสวน การได้เดินทอดน่องไปช้าๆภายใต้ใบไม้สีแดงที่สาดส่องด้วยแสงไฟงดงามภายในสวนที่งดงามมีระดับ

การเดินทาง: จากสถานี JR Fukuoka Airport ขึ้นรถไฟใต้ดิน Airport Line ใช้เวลาประมาณ 5 นาที มาลงที่สถานี JR Hakata จากนั้นขึ้นรถไฟ Limited Express Sasebo Line ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง มาลงที่สถานี Takeo Onsen แล้วขึ้นแท็กซี่ประมาณ 5 นาที

ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็กชั้นประถม 300 เยน, เด็กต่ำกว่าวัยเรียน ไม่เสียค่าเข้าชม
(ยังไม่แน่ชัดว่าราคาเดียวกันทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนหรือไม่)
*ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงกำหนดการ ณ เดือนกันยายน

วัดไดโคเซ็นจิ (Daikouzenji Temple)

วัดไดโคเซ็นจิเป็นวัดบนเขาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1300 ปี และในปัจจุบันมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่สำหรับชมใบไม้เปลี่ยนสี ภาพใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสวยสดงดงามของที่นี่เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง บริเวณด้านหลังของอาคารหลักเป็นสวนชื่อ “ชิงิริเอ็น” (Shigiri-en) ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับบรรยากาศปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม

สวนชิงิริเอ็นแห่งนี้เป็นสวนที่ทอดตัวยาวตามแนวเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดไดโคเซ็นจิ และเป็นสวนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถรื่นรมย์ไปกับการเดินลอดอุโมงค์ใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามขึ้นไปตามขั้นบันไดหิน สำหรับตอนกลางคืนจะมีการจัดไฟไลท์อัพ ส่องให้เห็นใบไม้สีแดงและตัววัดสว่างไสวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืนที่ไร้แสงรบกวนจากในเมือง เทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสียามค่ำคืนของที่นี่เป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ และจัดขึ้นเพียง 5 วันเท่านั้นในทุกๆปี จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ระยะเวลาที่เหมาะกับการชมใบไม้เปลี่ยนสี : ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม
ระยะเวลาจัดไลท์อัพตอนกลางคืน : ปลายเดือนพฤศจิกายน (ยังไม่กำหนดแน่ชัด)

การเดินทาง: จากสถานี Fukuoka Airport ขึ้นรถไฟใต้ดิน Airport Line ใช้เวลาประมาณ 5 นาที มาลงที่สถานี JR Hakata จากนั้นขึ้นรถไฟ Kagoshima Main Line Rapid ใช้เวลาประมาณ 25 นาที มาลงที่สถานี JR Kiyama แล้วขึ้นแท็กซี่ประมาณ 10 นาที

พิเศษ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ตั๋วรถไฟ พาสเดินทางราคาพิเศษได้ที่ KTC World Travel Service บริการข้อมูลการเดินทางและท่องเที่ยวสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต KTC โทร. 02 123 5050 (ให้บริการทุกวัน 8.00 - 20.00 น.)
โปรโมชั่น ตั๋วเครื่องบินไป Fukuoka
โปรโมชั่น ตั๋วรถไฟ JR PASS ที่ Fukuoka
โปรโมชั่น พาสเดินทางที่ Fukuoka
โปรโมชั่น บัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยว Fukuoka

โอกินาวะ (Okinawa)

เทศกาลที่หลากหลายแห่งฤดูใบไม้ร่วง
Various festival in Autumn season

จังหวัดโอกินาวะ (Okinawa) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่มากมายราว 160 เกาะ โดยมีเกาะหลักโอกินาวะ (Okinawa Main Island) เป็นศูนย์กลาง มีความรุ่งเรื่องในยุคสมัยริวกิว ซึ่งสามารถสร้างวัฒนธรรมในแบบฉบับของตัวเองพร้อมกับการรับอิทธิพลจากประเทศต่างๆ อาทิ จีน อเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น มีสภาพอากาศแบบเขตร้อน มีท้องทะเลสีฟ้าอมเขียวสะอาดใสดุจดั่งสีมรกตประกายแดด และเป็นที่พักผ่อนตากอากาศทางทะเลติดอันดับโลกในฤดูใบไม้ร่วงโอกินาวะ (Okinawa) มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที 20 – 30 องศาเซลเซียส ซึ่งนับว่าอบอุ่นสบายกว่าภูมิภาคอื่นๆ และเป็นจุดเด่นประการหนึ่ง แม้ว่าโอกินาวะในฤดูใบไม้ร่วงจะไม่มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชม แต่อากาศก็เย็นสบายขึ้นกว่าช่วงกลางฤดูร้อนจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการมาท่องเที่ยวและขับรถชมวิวกินบรรยากาศท้องทะเลสีเขียวคราม แวะถ่ายรูปในวันที่ฟ้าใสตามจุดชมวิวต่างๆ ได้อย่างเต็มอิ่ม นอกจากนี้ที่โอกินาวะยังเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดที่ผลิบานเฉพาะในฤดูนี้ อย่างเช่น ดอกทคคุริคิวะตะ (Tokkurikiwata) และ ดอกคุวันโซ (Kuwanso) ได้ชื่นชมความงามของดอกไม้หลากสีสันสดใสทั้งส้มและชมพูสมกับเป็นดินแดนทางใต้อาหารท้องถิ่นที่แนะนำของดีของขึ้นชื่อที่ จังหวัดโอกินาวะ (Okinawa) แนะนำให้ลอง โซกิโซบะ (Soki Soba) คำว่า โซกิ (Soki) เป็นคำในภาษาถิ่นโอกินาวะหมายถึง เนื้อส่วนซี่โครงหมู ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่นำมาวางไว้ด้านบนบะหมี่น้ำหรือโซบะ (Soba) สไตล์โอกินาวะ น้ำซุปใสรสชาติเบาๆ เส้นบะหมี่จากแป้งสาลีลวกออกแข็งเล็กน้อย และเนื้อหมูเคี่ยวจนนุ่มที่วางอยู่ด้านบน เป็นอาหารที่ให้รสชาติเรียบง่ายแต่ล้ำลึกและมีอีกหลายอย่างที่น่าลองเช่น สาหร่ายองุ่น (Umibudo) , อาหารทะเล (Seafood) ,โกยะชัมปุรุ (Goya Champuru) , แซนวินข้าวปั้น (Pork Tamago Onigiri Honten) เป็นต้นนอกจากนี้ในฤดูใบไม้ร่วงที่โอกินาวะยังมีการจัดงานเทศกาลที่สืบทอดมาแต่โบราณตามสถานที่ต่างๆ ทั่วจังหวัดอีกด้วยสะพานโคะอุริโอฮะชิ (Kouri Ohashi Bridge), โอกินาวะ (Okinawa)

สำหรับการมาท่องเที่ยวและขับรถชมวิวกินบรรยากาศท้องทะเลสีเขียวครามในฤดูใบไม้ร่วงเส้นทางแนะนำคือ เส้นทางขับรถ สะพานโคริ (Kouri Bridge) สะพานแห่งนี้ยาวเกือบ 2 กิโลเมตร เป็นสะพานที่ใช้เดินทางข้ามไปยังเกาะโคริอุริจิมะ (Kouri-jima Island) อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใสนั้นก็สามารถขับรถรับลมพร้อมชมทิวทัศน์ของท้องฟ้า ผืนน้ำสีเขียวมรกตและธรรมชาติอันแสนงดงามได้อย่างเต็มอิ่มทุกช่วงเวลาในการเที่ยว จากสะพานก็สามารถขับรถมุ่งหน้าไปยังเกาะโคะอุริจิมะ เกาะเล็กๆ ที่มีชื่อเล่นว่าเกาะแห่งความรัก เพราะท้ายเกาะมีหินรูปหัวใจตั้งอยู่กลางทะเลสร้างความโรแมนติกไปทั่วทั้งเกาะเกาะโคะอุริจิมะ (Kouri-jima Island) มีอาคารโคริโอเชียนทาวเวอร์ (Kouri Ocean Tower) อาคารสีขาวขนาดใหญ่เห็นได้แต่ไกลตั้งแต่บนสะพาน เป็นจุดศูนย์กลางการพักผ่อนของเกาะโคะอุริจิมะ มีพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเปลือกหอยจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 10,000 ชิ้น ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม โดยเฉพาะทิวทัศน์ของสะพานโคริที่ทอดยาวไปกลางท้องทะเลสีเขียวมรกต นอกจากนี้ยังมีสวนและน้ำตกขนาดใหญ่ ร้านอาหารนานาชาติ ร้านขายของที่ระลึกและขนมที่ทำจากฟักทองซึ่งปลูกบนเกาะโคะอุริจิมะ นี่เองข้อมูลแนะนำ

เกาะโคริ (Kouri-jima Island) บนเกาะยังมีหมู่บ้านเก่าแก่และไร่อ้อยให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศของโอกินาวะในสมัยก่อนอีกด้วย และหากต้องการลงเล่นน้ำทะเลก็สามารถเล่นได้ที่หาดโคะอุริ (Kouri Beach) ซึ่งลงเล่นน้ำได้จนถึงช่วงต้นเดือนตุลาคม


การเดินทาง จากสนามบิน Naha Airport ขับรถไปใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที จากทางแยกต่างระดับ Naha IC ขับเข้าทางด่วนโอกินาวะ (Okinawa Expressway) แล้วลงที่ทางออก Kyoda IC เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 58 และจากทางหลวงจังหวัดหมายเลข 110 เข้าสู่เกาะ Yagajishima แล้วมุ่งสู่สะพาน Kouri Ohashi Bridge

งานเทศกาลในฤดูใบไม้ร่วงที่โอกินาวะ (Okinawa), โอกินาวะ (Okinawa)

งานอีเวนท์ในโอกินาวะ (Okinawa) ที่จะขาดเสียไม่ได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็คืองานเทศกาลเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่โบราณที่จัดขึ้นตามท้องที่ต่างๆ ทั่วจังหวัดนั่นเอง และเทศกาลยักษ์ใหญ่แสนตื่นตาตื่นใจที่จะพลาดไม่ได้เป็นอันขาดครั้งนี้จะแนะนำเทศกาลใหญ่ซึ่งได้แก่

เทศกาลแข่งขันชักเย่อเชือกยักษ์แห่งนาฮะ (Naha Giant Tug of War Festival) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปีและน่าตื่นตาด้วยจำนวนคนมหาศาลถึงกว่า 15,000 คนที่เข้าร่วมยื้อยุดเชื่อยักษ์ยาว 200 เมตร 
จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 6 – 8 ตุลาคม 2018เทศกาลปราสาทชุริ (Shuri Castle Festival) ที่จำลองวัฒนธรรมแห่งราชวงศ์ของโอกินาวะเมื่อกว่า 130 ปีก่อนมาให้เราได้ชมกันนั่นเอง 
จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคม 2018ขบวนแห่ระบำเอซา (All-Island Eisa Festival) คือหนึ่งในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมือง กลุ่มคนหนุ่มสาวจะถูกเลือกมาจากทั่วจังหวัดและชุมนุมกันเพื่อแสดงระบำเอซาด้วยกัน เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ฝึกซ้อมกันซ้ำแล้วซ้ำแสดงออกถึงจิตวิญญาณของเกาะโดยไม่ต้องสนเรื่องอายุ โดยมีผู้เข้าชม 300,000 คนในช่วงวันจัดงาน 
จะจัดให้มีขึ้นในวันที่ 01-02 กันยายน 2018

ขอบคุณข้อมูลจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO)