ก่อนลงทุนต้องรู้! มือใหม่ควรลงทุนอะไรดีที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนระยะยาวทุกปี
มนุษย์เงินเดือนยุคใหม่จะให้ย้ายงานใหม่เพื่ออัปเงินเดือนอย่างเดียวรายได้ที่เพิ่มขึ้นก็อาจไม่ทันใจเสมอไป ทำให้หลาย ๆ คนมองหาวิธีเก็บเงินรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เงินช่วยทำงานอีกแรง ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงินในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือหักเงินเข้าบัญชีหุ้นสำหรับลงทุน
แต่การจะให้เริ่มลงทุนครั้งแรกก็มีความเสี่ยงไม่ใช่น้อย ในบทความนี้เราจึงนำข้อมูลต่าง ๆ มาฝากมือใหม่ที่สนใจลงทุน แต่ไม่รู้ว่าควรลงทุนอะไรดีถึงจะใช่ และเสี่ยงน้อยสุดมาฝากทุกคนกัน
เลือกอ่านตามหัวข้อ
เริ่มต้นศึกษาเกี่ยวกับกองทุนของคนรุ่นใหม่
หากมือใหม่ไม่รู้ว่าควรลงทุนกับสินทรัพย์อะไรดี ก็สามารถศึกษาได้จากตัวอย่างกองทุนตราสารหนี้ดังต่อไปนี้ได้เลย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ที่จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำ เหมาะแก่นักลงทุนทุกช่วงวัย
1. กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เหมาะแก่นักลงทุนที่มีเงินลงทุนน้อย ใช้เงินเริ่มต้นเพียงหลักร้อยก็สามารถลงทุนได้ ฃมีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนใกล้เคียงกับบัญชีเงินฝากประจำ 3-6 เดือน และสินทรัพย์ที่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเลือกลงทุน คือ ตราสารหนี้ที่มีอายุไถ่ถอนไม่ถึง 1 ปี เช่น เงินฝากประจำ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น 3 เดือน เป็นต้น
2. กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง
กองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง ส่วนใหญ่แล้วจะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีระยะเวลาไถ่ถอนเฉลี่ยประมาณ 5 ปี และสินทรัพย์ที่กองทุนประเภทนี้นิยมเลือกลงทุนจะมีความเสี่ยงมากกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น เช่น หุ้นกู้บริษัทเอกชน หรือพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปีขึ้นไป
3. กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว
กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว คือกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะเวลาไถ่ถอน 10 ปีขึ้นไป ตัวอย่างเช่น พันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี โดยกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวถือเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในบรรดากองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากโดยเฉลี่ยแล้วผลตอบตราสารหนี้ระยะยาวสูงกว่าระยะสั้น แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงจากการขาดทุน เพราะความผันผวนของราคาพันธบัตรระยะยาวด้วยเช่นกัน
4. กองทุนรวมตลาดเงิน
กองทุนรวมตลาดเงินเป็นหนึ่งในรูปแบบของกองทุนรวมตราสารหนี้ เพียงแต่มีความเสี่ยงต่ำกว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เนื่องจากกองทุนประเภทนี้มักลงทุนกับสินทรัพย์ที่ได้รับการจัดเครดิตเรตติ้งอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และเป็นสินทรัพย์ที่ใกล้ถึงกำหนดไถ่ถอน หรือมีอายุคงเหลือไม่ถึง 1 ปี
วัยทำงานเริ่มมีเงินเก็บควรลงทุนอะไรดี?
วัยทำงานผู้วางแผนลงทุนคงทราบกันไปแล้วว่ากองทุนที่น่าสนใจของคนรุ่นใหม่มีอะไรแล้วบ้าง? แต่โลกของการลงทุนไม่ได้มีเพียงแค่กองทุนที่ได้ยกตัวอย่างไปเท่านั้น เพราะยังมีรูปแบบการลงทุนอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจไม่แพ้กันหากคุณพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้างแล้ว ซึ่งมือใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าควรลงทุนอะไรดี ? สามารถศึกษาได้จากตัวอย่างดังนี้
1. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างพร้อมใจกันจัดตั้งขึ้นผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงาน มีเงินใช้จ่ายในยามเกษียณ ซึ่งเงินของกองทุนเกิดจากลูกจ้างจ่ายเงินสะสมตั้งแต่ 2-15% ของเงินเดือน และนายจ้างจ่ายเพิ่มให้บางส่วนเป็นเงินสมทบ
ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพคือ มั่นใจได้ว่าในระยะยาวจะมีเงินเก็บเพื่อยามเกษียณ เพราะเป็นการหักเงินออมทันทีผ่านบัญชีเงินเดือนก่อนการใช้จ่าย และสามารถนำเงินสะสมไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
2. เลือกลงทุนในกองทุนรวม
กองทุนรวมไม่ได้มีเพียงแค่กองทุนรวมตราสารหนี้เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกองทุนรวมต่างประเทศ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมดัชนี ฯลฯ ซึ่งกองทุนแต่ละแบบต่างลงทุนในสินทรัพย์ที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าผู้ลงทุนสนใจสินทรัพย์ใดเป็นหลัก
แต่ก่อนตัดสินใจลงทุนกับกองทุนรวมให้ผู้ลงทุนหน้าใหม่อ่านหนังสือชี้ชวนให้ดี ว่ากองทุนที่คุณสนใจคิดค่าธรรมเนียม ค่าบริหารจัดการกองทุนเท่าไหร่บ้าง และระดับความเสี่ยงจากการลงทุนอยู่ในระดับใด ? มิเช่นนั้นอาจขาดทุนจากการไม่เข้าใจลักษณะการดำเนินงานของกองทุนนั้น ๆ ได้
3. สร้างบัญชีเงินฝากประจำที่ได้ดอกเบี้ยสูง
หากไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปลงทุนกับสินทรัพย์อะไรดี ? เราแนะนำให้เลือกเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ให้ดอกเบี้ยสูง เช่น บัญชีเงินฝากประจำ 24 เดือน หรือ 48 เดือน และการเปิดบัญชีเงินฝากประจำยังช่วยส่งเสริมวินัยการออม ให้คุณเริ่มต้นเก็บเงินเป็นประจำทุกเดือน ก่อนมีเงินเย็นก้อนใหญ่ไปลงทุนกับสินทรัพย์อื่นต่อไป
4. พันธบัตรรัฐบาล
พันธบัตรรัฐบาลเป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนผู้ชอบความเสี่ยงน้อย และมีเงินเย็นเหลือจำนวนมาก ข้อดีของการลงทุนกับพันธบัตรรัฐบาลคือได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการขาดทุน เพราะรัฐบาลหลายประเทศต่างมีความสามารถในการชำระเงินต้นคืนเมื่อใกล้ถึงเวลาครบกำหนดไถ่ถอน
อย่างไรก็ตามพันธบัตรรัฐบาลก็มีความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินต้นได้เช่นกัน หากคุณไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่มีเครดิตทางการเงินต่ำ เมื่อถึงเวลาครบไถ่ถอนแล้วก็อาจไม่มีเงินมาจ่ายคืนได้ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้เลือกลงทุนกับประเทศที่มีเครดิตทางการเงินระดับ BBB+ ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระ
5. หุ้น
การลงทุนในหุ้นเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะเข้าใจว่าให้ผลตอบแทนสูง สามารถสร้างความร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว แต่ความจริงแล้วการลงทุนในหุ้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนักลงทุนต้องศึกษาบริษัทที่สนใจลงทุนให้ดีว่าทำธุรกิจอะไร ทำกำไรได้สม่ำเสมอทุกปีหรือไม่ ผ่านการวิเคราะห์งบการเงิน และหากลงทุนผิดบริษัท เจ้าของขาดธรรมาภิบาล ก็อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนไปได้ทั้งหมด
6. ทองคำ
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักลงทุนทั่วโลกในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) กล่าวคือ ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือสงคราม ผู้คนต่างเลือกถือทองคำมากกว่าสินทรัพย์รูปแบบอื่น
และราคาทองคำปรับตัวโดยเฉลี่ย 9-10% ทุกปี จึงมั่นใจได้ว่าเมื่อถือทองคำในระยะยาวมากพอ และเข้าซื้อในช่วงราคาทองคำปรับตัวลดลงแล้ว ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ
ข้อดีและโอกาสจากการลงทุน
จาก 6 รูปแบบของการลงทุนระยะยาว ที่ได้ยกตัวอย่างไป อาจจะทำให้มือใหม่ได้ไอเดียแล้วว่าควรลงทุนอะไรดี ถึงจะตอบโจทย์ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่ตนเองคาดหวังได้มากที่สุด ต่อไปก็มาดูกันเลยดีกว่าว่าทำไมเราถึงต้องรีบลงทุนตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านการเงินที่ดีในอนาคต
1.มีรายได้เพิ่มขึ้น
การลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทาง นอกเหนือจากการทำงานประจำ ทั้งนี้นักลงทุนมือใหม่ก็ไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนมากเกินไป เพราะจะทำให้คุณขาดทุนแทนที่จะสร้างกำไรได้
2.มีอิสรภาพทางการเงิน
หากนักลงทุน ศึกษาความรู้ในการลงทุนมาเป็นอย่างดี และสร้างผลตอบแทนได้จำนวนมาก ก็สามารถมีอิสรภาพทางการเงินจนไม่ต้องทำงานประจำอีกต่อไป เพราะเพียงแค่ผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า passive income และส่วนต่างจากราคาสินทรัพย์ก็มากพอสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว
3.วางแผนยามเกษียณ
การลงทุนในระยะยาวกับกองทุนเงินสำรองเลี้ยงชีพ และซื้อกองทุนรวมตั้งแต่เริ่มต้นวัยทำงาน จะช่วยให้คุณมีเงินมากพอสำหรับเตรียมพร้อมสู่วัยเกษียณ จากผลตอบแทนของอัตราดอกเบี้ยทบต้น
รวมเรื่องต้องรู้ก่อนตัดสินใจลงทุน สำหรับมือใหม่
1. ศึกษาความเสี่ยงของการลงทุนหลาย ๆ รูปแบบ
นักลงทุนมือใหม่มักมองหาเป็นอันดับแรกว่าควรลงทุนกับสินทรัพย์อะไรดีที่ให้ผลตอบแทนสูง และละเลยความเสี่ยงจากการขาดทุนไป ทำให้เมื่อลงทุนครั้งแรกก็ไม่พ้นต้องประสบกับปัญหาการขาดทุนอย่างหนัก บางคนขาดทุนไปมากกว่า 50% ของเงินต้น
ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องศึกษาความเสี่ยงให้ดีว่าคุณรับมือกับระดับการขาดทุนได้เท่าไหร่ เพราะการลงทุนที่ดีจำเป็นต้องลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่คาดหวังจากความต่างของราคาสินทรัพย์ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวลงชั่วคราว และคุณทนรับความเสี่ยงจากการขาดทุนในระยะสั้นไม่ได้ ก็อาจตัดสินใจขายสินทรัพย์นั้นออกไป ทั้งที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ในอนาคต
2. เตรียมเงินเย็นสำหรับการลงทุน
เมื่อศึกษาความเสี่ยงมาเป็นอย่างดีแล้ว ก็ถึงเวลาของการลงทุน ซึ่งเราแนะนำให้ใช้เงินเย็นสำหรับการลงทุนเท่านั้น กล่าวคือ เป็นเงินเหลือเก็บที่ไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายในระยะยาว และไม่ควรกู้เงินมาลงทุนโดยไม่จำเป็น เพราะหากราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงแล้ว ก็ยิ่งทำให้มูลค่าของเงินต้นลดลง และยังต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้อีกด้วย
3. กระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่ลงทุน
การนำเงินเย็นทั้งหมดลงทุนในสินทรัพย์เพียงประเภทเดียว ไม่ใช่การลงทุนที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะหากสินทรัพย์นั้นปรับตัวลดลงก็จะทำให้พอร์ตลงทุนโดยรวมติดลบจำนวนมาก และอาจสูญเงินต้นได้ทั้งหมด หากเลือกลงทุนกับสินทรัพย์ที่ไม่มีคุณภาพ เช่น บริษัทที่เรานำเงินไปลงทุนล้มละลาย หรือเกิดการทุจริตขึ้นในบริษัท
ในขณะที่การเลือกลงทุนในหลายสินทรัพย์ เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการขาดทุนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเมื่อราคาสินทรัพย์หนึ่งปรับตัวลดลงแล้ว ราคาสินทรัพย์ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น จะช่วยพยุงพอร์ตการลงทุนโดยรวมไม่ขาดทุนจนเกินไป และมีโอกาสทำให้คุณสร้างผลกำไรได้อีกด้วย
รู้ก่อน ลงทุนก่อน จัดการความเสี่ยงได้ก่อน
นักลงทุนมือใหม่คงได้รับคำตอบไปแล้วว่าควรลงทุนกับสินทรัพย์อะไรดี ? ถึงจะเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ทั้งนี้การลงทุนที่ดีไม่จำเป็นต้องได้รับผลตอบแทนจำนวนมาก ขอแค่สร้างผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ ไม่สูญเสียเงินต้น ในระยะแรกแม้ได้กำไรเพียงเล็กน้อย แต่ก็กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ด้วยผลตอบแทนดอกเบี้ยทบต้น
ในกรณีที่คุณนำเงินเย็นไปซื้อกองทุนทั้งหมดแล้วเกิดเหตุฉุกเฉินทางการเงิน เช่น ซ่อมแซมบ้าน หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายรักษาตัวเข้าโรงพยาบาล และไม่มีเงินสดเพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่าย เพียงแค่สมัครบัตรกดเงินสด KTC PROUD บัตรกดเงินสดของคนรุ่นใหม่ ที่พร้อมเป็นตัวช่วยยามฉุกเฉินทางการเงินให้แก่ทุกคนแล้วตั้งแต่วันนี้!
สมัครบัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยบริหารเงินเพื่อการลงทุนในอนาคต
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี