การลงทุนในตราสารหนี้ คืออีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาความมั่นคงและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ ไม่เพียงแต่เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอในระยะยาวอีกด้วย มาเรียนรู้วิธีการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงสุดไปพร้อมกัน
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- ตราสารหนี้สินคืออะไร
- ประเภทของตราสารหนี้สิน
- ตราสารหนี้สินระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวต่างกันอย่างไร
- วิธีการลงทุนในตราสารหนี้สิน มีอะไรบ้าง
- ข้อดีของการลงทุนกับตราสารหนี้สิน
- ลิสต์อันดับความน่าเชื่อถือ 3 กลุ่มใหญ่ในการลงทุนตราสารหนี้สิน
- ข้อควรรู้ก่อนลงทุนตราสารหนี้สิน
- ตราสารหนี้ พาสปอร์ตสู่โลกการเงินเปิดประตูสู่ความมั่นคงในระยะยาว
ตราสารหนี้สินคืออะไร
ตราสารหนี้ (Bond) คือ การลงทุนประเภทหนึ่งที่ผู้ออกตราสารทางการเงินจะถูกเรียกว่าลูกหนี้ และผู้ลงทุนหรือผู้ถือตราสารหนี้สินมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ โดยผู้ถือตราสารหนี้ จะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ในสัญญา อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ นั้น การซื้อตราสารหนี้ ก็เหมือนกับการให้บริษัทหรือรัฐบาลยืมเงินนั่นเอง โดยมีเป้าหมายเป็นผลตอบแทนคือดอกเบี้ย และเมื่อครบกำหนดสัญญา ก็จะได้รับเงินต้นคืน
ประเภทของตราสารหนี้สิน
ปัจจุบันตราสารหนี้สินสามารถแบ่งแบบเข้าใจง่าย ๆ ได้ 2 ประเภท ดังนี้
ตราสารหนี้สินจากรัฐบาล
ตราสารหนี้สินจากรัฐบาลเป็นตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาล เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในการดำเนินงานของภาครัฐ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การจ่ายเงินเดือนข้าราชการ ดังนั้น ลงทุนตราสารหนี้ คือการที่เราสนับสนุนเงินทุนให้รัฐบาลและได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยนั่นเอง ตัวอย่างของตราสารหนี้จากรัฐบาล เช่น
- ตั๋วเงินคลัง : เป็นการลงทุนระยะสั้น มักมีอายุไม่เกิน 1 ปี ใช้สำหรับระดมทุนเพื่อชำระหนี้ระยะสั้นของรัฐบาล
- พันธบัตรรัฐบาล : เป็นการลงทุนระยะยาว มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ใช้สำหรับระดมทุนเพื่อโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูง สนามบิน เป็นต้น
ตราสารหนี้สินจากเอกชน
ตราสารหนี้สินจากเอกชนเป็นตราสารหนี้สินที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพื่อระดมทุนสำหรับใช้ในการขยายธุรกิจ ลงทุนในโครงการใหม่ หรือชำระหนี้ ตัวอย่างของตราสารหนี้จากเอกชน ได้แก่
- หุ้นกู้ : เป็นการลงทุนที่บริษัทเอกชนออกเพื่อระดมทุนในการขยายธุรกิจ โดยบริษัทจะสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยให้แก่นักลงทุนเป็นระยะ และเมื่อครบกำหนดจะคืนเงินต้น
- ตั๋วแลกเงิน : เป็นการลงทุนระยะสั้น มักมีอายุไม่เกิน 270 วัน ใช้สำหรับระดมทุนเพื่อชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท
*ตราสารหนี้จากรัฐบาลมีความเสี่ยงในการผิดนัดจ่ายหนี้ต่ำ เนื่องจากดูแลโดยหน่วยงานรัฐบาลโดยตรง
ตราสารหนี้สินระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวต่างกันอย่างไร
ตราสารหนี้สินคือการลงทุนที่มีรายละเอียดเรื่องระยะเวลาแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นการเลือกตราสารหนี้ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ลงทุนนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะแต่ละระยะเวลาจะมีความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ตราสารหนี้สินระยะสั้น
- ระยะเวลามักมีอายุไม่เกิน 1 ปี เช่น ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน
- ความเสี่ยงต่ำ เนื่องจาก ระยะเวลาสั้น ทำให้มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ
- ผลตอบแทนต่ำ เนื่องจาก ความเสี่ยงต่ำ
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสดในระยะสั้น หรือต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน
- ตราสารหนี้สินระยะกลาง
- ระยะเวลา มีอายุระหว่าง 1-10 ปี เช่น พันธบัตรรัฐบาลบางประเภท หุ้นกู้บางประเภท
- ความเสี่ยงปานกลาง ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าระยะสั้น
- ผลตอบแทนปานกลาง สูงกว่าระยะสั้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน หรือผู้ที่ต้องการเงินทุนในระยะกลาง
- ตราสารหนี้สินระยะยาว
- ระยะเวลา มีอายุมากกว่า 10 ปี เช่น พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว หุ้นกู้ระยะยาว สำหรับเจ้าของตราสารหนี้จะต่างจากเงินกู้ระยะยาวโดยมีการจำนอง ซึ่งเป็นการที่ผู้กู้ยอมให้ทรัพย์สินตัวเองเป็นหลักประกันกับเจ้าหนี้เพื่อรับเงินกู้
- ความเสี่ยงสูง ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้สูง
- ผลตอบแทนสูง
- เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนในระยะยาว และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง
วิธีการลงทุนในตราสารหนี้สิน มีอะไรบ้าง
การลงทุนในตราสารหนี้ คืออีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตลงทุน แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นลงทุนในตราสารหนี้ได้อย่างไร เราจะมาไขข้อข้องใจและแนะนำวิธีการลงทุนอย่างละเอียดกัน
การลงทุนทางตรงในตลาดแรก (Primary Market)
การลงทุนทางตรงในตลาดแรก คือการซื้อตราสารหนี้ใหม่ที่เพิ่งออกสู่ตลาด หรือหุ้นตราสารหนี้ คือตราสารหนี้ที่ออกโดยตรงจากผู้ออกตราสารหนี้ เช่น รัฐบาล หรือบริษัทเอกชน การลงทุนในตลาดแรกมักจะมีข้อดีคือได้รับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน และมีโอกาสได้รับส่วนลดพิเศษจากผู้ออกตราสารหนี้
ขั้นตอนการลงทุน
- ติดตามข่าวสาร ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเสนอขายตราสารหนี้ใหม่จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ หรือเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์
- ศึกษาข้อมูล ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตราสารหนี้ที่จะลงทุน เช่น ผู้ออกตราสารหนี้ อายุของตราสารหนี้ อัตราดอกเบี้ย และอันดับความน่าเชื่อถือ
- ติดต่อสถาบันการเงิน ติดต่อสถาบันการเงินที่เป็นผู้จัดจำหน่ายเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมและทำการจองซื้อ
- ชำระเงิน ชำระเงินค่าซื้อตราสารหนี้ตามที่กำหนด
ข้อดีของการลงทุนในตลาดแรก
- ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน
- มีโอกาสได้รับส่วนลดพิเศษ
- สนับสนุนการระดมทุนของผู้ออกตราสารหนี้
การซื้อขายในตลาดรอง (Secondary Market)
การซื้อขายในตลาดรอง คือการซื้อขายตราสารหนี้ที่เคยออกสู่ตลาดแล้ว โดยซื้อขายกันระหว่างนักลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ หรือผ่านโบรกเกอร์ การลงทุนในตลาดรองมีความยืดหยุ่นมากกว่าการลงทุนในตลาดแรก เนื่องจาก สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลา เหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้เน้นผลตอบแทนระยะยาวหรือมีเหตุผลต้องใช้เงินด่วน อย่างเช่น คนที่ต้องการกู้เงินรีโนเวทบ้าน แต่ไม่อยากเป็นหนี้ มีตราสารหนี้อยู่ในมือก็สามารถนำเอามาขายได้
ขั้นตอนการซื้อขายในตลาดรอง
- เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์
- ศึกษาข้อมูล ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตราสารหนี้ที่ต้องการซื้อ เช่น ราคาตลาด อัตราผลตอบแทน และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา
- สั่งซื้อ สั่งซื้อตราสารหนี้ผ่านระบบซื้อขายออนไลน์ หรือติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์
- ชำระเงิน ชำระเงินค่าซื้อตราสารหนี้
ข้อดีของการซื้อขายในตลาดรอง
- สามารถซื้อขายตราสารหนี้ได้ตลอดเวลา
- มีสภาพคล่องสูง
- สามารถเลือกซื้อได้หลากหลายประเภท
ข้อดีของการลงทุนกับตราสารหนี้สิน
ตราสารหนี้ คือการลงทุนที่มาพร้อมข้อดีมากมาย ทำให้กองทุนตราสารหนี้กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนยอดนิยมของนักลงทุนทั่วโลก มาดูกันว่าข้อดีเหล่านั้นมีอะไรบ้าง
- ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน ต่างจากหุ้นที่ราคาอาจผันผวนสูง มีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ชัดเจน ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนได้อย่างแม่นยำ
- ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด โดยทั่วไปการลงทุนประเภทนี้มีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยงในการลงทุน
- สร้างรายได้สม่ำเสมอ นักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเป็นระยะ ซึ่งเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอและสามารถนำไปใช้จ่ายหรือลงทุนต่อได้
- กระจายความเสี่ยง การลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภท หรือหลายผู้ออกตราสารหนี้ จะช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้
- เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการพอร์ตลงทุน สามารถนำมาใช้ในการปรับสมดุลพอร์ตลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง
- เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมืออาชีพ การลงทุนประเภทนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจาก มีหลากหลายประเภทให้เลือกสรรตามความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถรับได้
- สามารถนำไปใช้เป็นหลักประกัน ตราสารหนี้บางประเภทสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อได้
ลิสต์อันดับความน่าเชื่อถือ 3 กลุ่มใหญ่ในการลงทุนตราสารหนี้สิน
ตราสารหนี้สินหรือการลงทุนทุกรูปแบบ ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจก่อนลงทุนอย่างละเอียด โดยอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนลงทุนตราสารหนี้คืออันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ เพราะอันดับความน่าเชื่อถือนั้นจะบ่งบอกถึงความสามารถในการชำระหนี้คืนให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเสี่ยงในการลงทุนและผลตอบแทนที่คาดหวัง
กลุ่ม Investment Grade (กลุ่มระดับลงทุน)
ตราสารหนี้ในกลุ่มนี้มีความน่าเชื่อถือสูง ผู้ออกตราสารหนี้มีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีประวัติการชำระหนี้ที่ดี และมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ มักได้รับอันดับเครดิตจากสถาบันจัดอันดับเครดิต เช่น Moody's, Standard & Poor's และ Fitch Ratings อยู่ในระดับสูง เช่น AAA, AA, A, หรือ BBB ผลตอบแทนจากตราสารหนี้กลุ่มนี้อาจจะไม่สูงมากนัก เนื่องจาก ความเสี่ยงต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นความมั่นคงและต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ค่อนข้างได้รับความนิยมในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้โดยเฉพาะ
กลุ่ม Non-Investment Grade (กลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน)
ตราสารหนี้ในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่ม Investment Grade ผู้ออกตราสารหนี้อาจมีปัญหาทางการเงินบ้าง หรืออยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนสูง มักได้รับอันดับเครดิตต่ำกว่า BBB หรือไม่มีอันดับเครดิต ผลตอบแทนจากการลงทุนตราสารหนี้กลุ่มนี้อาจจะสูงกว่ากลุ่ม Investment Grade เนื่องจาก มีความเสี่ยงสูงกว่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และต้องการผลตอบแทนที่สูง
กลุ่ม Unrated Bond (ไม่มีการจัดอันดับเครดิต)
ตราสารหนี้ที่ยังไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตจากสถาบันจัดอันดับเครดิต อาจเป็นเพราะบริษัทเพิ่งก่อตั้ง หรือมีขนาดเล็ก อาจเป็นการออกตราสารหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการกู้เงินปิดหนี้ของบริษัทได้ ความเสี่ยงในการลงทุนในตราสารหนี้สูง เนื่องจาก ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้ ผลตอบแทนอาจจะสูงมาก หรืออาจจะไม่มีเลย เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตราสารหนี้เป็นอย่างดี และมีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินได้
ข้อควรรู้ก่อนลงทุนตราสารหนี้สิน
ตราสารหนี้ คือการลงทุนที่ยังคงมีความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการลงทุน เพื่อให้การตัดสินใจของคุณเป็นไปอย่างรอบคอบและมีผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากที่สุด
- กำหนดเป้าหมายของการลงทุน : กำหนดเป้าหมายการลงทุนของคุณให้ชัดเจนก่อนว่าต้องการผลตอบแทนตราสารหนี้ในระยะสั้นหรือระยะยาว ต้องการความเสี่ยงมากหรือน้อย เป้าหมายเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกประเภทที่เหมาะสมได้
- กระจายความเสี่ยง : ไม่ควรลงทุนในตราสารหนี้ประเภทเดียว ควรกระจายความเสี่ยงไปยังตราสารหนี้ที่แตกต่างกัน เช่น ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว หรือของภาครัฐ และภาคเอกชน
- พิจารณาค่าธรรมเนียม : ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายแต่ละประเภทจะแตกต่างกันไป คุณควรเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของแต่ละบริษัทหลักทรัพย์ก่อนตัดสินใจ
- สภาพคล่อง : ความง่ายในการซื้อขาย หากคุณต้องการขายในอนาคต ควรเลือกแบบที่มีสภาพคล่องสูง
- อัตราดอกเบี้ย : อัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ราคาของตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ก็จะลดลง
ตราสารหนี้ พาสปอร์ตสู่โลกการเงินเปิดประตูสู่ความมั่นคงในระยะยาว
ตราสารหนี้ คือการลงทุนที่เป็นเหมือนสัญญาที่แสดงว่าเราให้ผู้ออกตราสารหนี้ยืมเงิน โดยที่เราจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย และเมื่อครบกำหนดสัญญา เราก็จะได้เงินต้นคืน การลงทุนในตราสารหนี้จึงเป็นช่องทางการลงทุนที่ช่วยให้เรามีรายได้ที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในการลงทุน และยังช่วยให้เราบริหารเงินของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่การลงทุนในตราสารหนี้ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุน เราควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ แต่สำหรับคนที่สงสัยว่ามือใหม่ควรลงทุนอะไรดี ตราสารหนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าสนใจไม่แพ้กัน และหากคุณต้องการวางแผนรองรับความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เราขอแนะนำบัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยด้านการเงินยามฉุกเฉิน สำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ พร้อมมอบวงเงินสูงสุดกว่า 1 ล้านบาท อนุมัติรวดเร็วทันใจ ไม่มีค่าธรรมเนียมกดเงินสด โอนผ่านแอป KTC Mobile ได้ตลอดเวลา หรือจะกดที่ตู้ ATM ทั่วไทยก็ได้เช่นกัน
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี
บัตรกดเงินสด KTC PROUD เพื่อนคู่คิดทางการเงินของคุณในทุกสถานการณ์