ในยุคดิจิทัลที่การสมัครบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ สามารถทำได้ง่าย ช่วยให้ผู้ใช้บริการประหยัดเวลาและสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการกรอกข้อมูล หรือยืนยันตัวตนผ่านช่องทางออนไลน์ที่รองรับระบบสแกนใบหน้า หรือการถ่ายภาพเอกสารเพียงไม่กี่ขั้นตอน แต่ในขณะเดียวกัน ความสะดวกเหล่านี้ก็ทำให้มิจฉาชีพสามารถใช้กลโกงออนไลน์แฝงตัวเข้ามาหลอกลวงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
บทความนี้จะพาคุณไปพบกับ 25 กลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ที่พบได้บ่อย เพื่อให้รู้เท่าทันและปกป้องเงินในกระเป๋าของตัวเองได้อย่างปลอดภัย ไม่มีช่องโหว่!
เลือกอ่านตามหัวข้อ
รู้เท่าทัน 25 กลโกงมิจฉาชีพออนไลน์ที่ต้องระวัง
- สแกมทางโทรศัพท์: สแกมทางโทรศัพท์หรือแก๊งคอลเซนเตอร์จะโทรมาแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือหน่วยงานราชการ เพื่อแจ้งว่าบัญชีของคุณมีปัญหา มีการใช้บัตรเครดิตของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือพูดให้คุณเชื่อว่าคุณกระทำผิดกฎหมาย เช่น เป็นหนี้นอกระบบ จากนั้นจะขอให้คุณเปิดเผยรหัส OTP หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ เช่นโทรศัพท์มาแจ้งว่าบัตร ATM ของคุณถูกระงับ และขอให้คุณแจ้งรหัส PIN
- สแปมอีเมล: มิจฉาชีพจะส่งอีเมลมาหลอกลวงให้คุณคลิกลิงก์ที่แนบมา หรือคลิกลิงก์ในเนื้อหาอีเมล ซึ่งเป็นเว็บไซต์ปลอมที่ออกแบบมาให้เหมือนกับเว็บไซต์ของธนาคาร หรือหน่วยงานราชการ จากนั้นจะขอให้คุณกรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หมายเลขบัตรเครดิต เพื่อนำไปใช้ในการทุจริต เช่น อีเมลแจ้งเตือนว่าบัญชีของคุณถูกระงับ และขอให้คุณคลิกลิงก์เพื่อยืนยันตัวตน
- ข้อความ SMS ปลอม: ข้อความ SMS ปลอมจะคล้ายกับอีเมลปลอม แต่จะส่งผ่านทางข้อความ SMS แทน โดยอาจแจ้งว่าคุณได้รับรางวัล หรือมีการเรียกเก็บค่าบริการที่คุณไม่ได้ใช้ เช่น ข้อความแจ้งว่าคุณได้รับรางวัลจากการตอบแบบสอบถาม และขอให้คุณคลิกลิงก์เพื่อรับรางวัล
- เว็บไซต์ปลอม: สร้างเว็บไซต์ที่หน้าตาเหมือนกับเว็บไซต์ของแบรนด์ดัง หรือหน่วยงานราชการ เพื่อหลอกล่อให้คุณเข้ามาซื้อสินค้า หรือทำธุรกรรมต่างๆ เช่น เว็บไซต์ปลอมที่มี URL เหมือนกับเว็บไซต์ของธนาคาร หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซที่ขอให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต
- โซเชียลมีเดียปลอม: สร้างบัญชีโซเชียลมีเดียปลอมที่ใช้รูปภาพและข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อเข้ามาติดต่อกับคุณโดยตรง และหลอกล่อให้คุณเชื่อใจ เช่น บัญชีเฟซบุ๊กปลอมที่แอบอ้างเป็นเพื่อนของคุณ
- หลอกขายสินค้าปลอม: โพสต์ขายสินค้าราคาถูกผิดปกติ หรือสินค้าแบรนด์เนมปลอมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เมื่อคุณโอนเงินไปแล้ว คุณจะไม่ได้รับสินค้า หรือได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามที่สั่ง เช่น โฆษณาขายสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดมาก
- หลอกให้ลงทุน: ชักชวนให้คุณลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ เช่น การลงทุนใน cryptocurrency, หุ้น หรือธุรกิจใหม่ๆ เช่น โครงการลงทุนที่อ้างว่าให้ผลตอบแทน 10% ต่อเดือน
- หลอกให้กู้เงิน: มิจฉาชีพจะเสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือไม่ต้องมีหลักประกัน แต่เมื่อคุณโอนเงินค่าดำเนินการไปแล้ว คุณจะไม่ได้รับเงินกู้ เช่น ถ้าคุณเห็นโฆษณาสินเชื่อเงินด่วนฉับไวอนุมัติง่าย สำหรับกู้เงินปิดหนี้ อาจเป็นกลลวงของมิจฉาชีพ
- หลอกให้ช่วยเหลือผู้อื่น: แอบอ้างเป็นญาติ หรือคนรู้จักที่กำลังเดือดร้อน เพื่อขอให้คุณช่วยเหลือทางการเงิน เช่น ข้อความขอความช่วยเหลือจากบัญชีที่ถูกแฮ็ก
- หลอกให้ชำระค่าปรับ: มิจฉาชีพจะโทรมาแจ้งว่าคุณมีคดีความ หรือหนี้สินค้างชำระ และขอให้คุณโอนเงินเพื่อชำระค่าปรับ เช่น โทรมาแจ้งว่าคุณค้างชำระภาษี
- หลอกลวงในแอปพลิเคชัน: แอปพลิเคชันปลอมที่อ้างว่าให้บริการต่างๆ เช่น การเงิน การเสริมความงาม หรือเกมฟรี แต่แท้จริงแล้วจะขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น แอปพลิเคชัน "ธนาคารปลอม" ที่ขอให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตและรหัสผ่าน
- หลอกลวงด้วยการชิงเงินรางวัล: อ้างว่าเป็นการแจกของรางวัล เช่น ทริปท่องเที่ยวหรือเงินสด แต่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อนเพื่อให้ได้รับรางวัล อย่างข้อความบนโซเชียลมีเดียที่บอกว่าผู้ใช้ได้รับรางวัลใหญ่จากการร่วมกิจกรรม แต่ต้องโอนเงินเพื่อขอรับรางวัล
- หลอกลวงทางให้ชำระเงิน: ให้ชำระเงินผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย เช่น การโอนเงินผ่านบัญชีส่วนตัวหรือช่องทางที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ อย่างการขอให้โอนเงินผ่านแอปพลิเคชันที่ไม่ใช่ของธนาคารหรือช่องทางที่ไม่สามารถคืนเงินได้
- หลอกลวงโดยการเรียกค่าไถ่: ใช้โปรแกรมที่ล็อกข้อมูลในคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนและขอให้จ่ายเงินเพื่อปลดล็อก เช่น การติดตั้งมัลแวร์ที่ล็อกไฟล์หรือระบบแล้วขอเงินผ่านบิตคอยน์เพื่อให้ปลดล็อก
- หลอกลวงด้วยบัตรเครดิตปลอม: มิจฉาชีพใช้บัตรเครดิตปลอมในการซื้อสินค้าออนไลน์หรือขโมยข้อมูลบัตรเครดิตของผู้ใช้งาน เช่น สร้างบัตรเครดิตปลอม และใช้ในการทำธุรกรรม
- หลอกขายแพ็คเกจทัวร์ราคาถูก: เสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวราคาถูกที่ไม่มีอยู่จริง หรือหลอกให้โอนเงินเพื่อจองทริป เช่น ในช่วงเทศกาล มิจฉาชีพจะโฆษณาแพ็คเกจทัวร์ราคาถูกจากประเทศต่างๆ แต่เมื่อผู้ใช้โอนเงินแล้วกลับไม่ได้รับการบริการ
- ใช้ AI ปลอมเสียงเป็นคนรู้จัก: ใช้เทคโนโลยี AI ในการปลอมแปลงเสียงของคนรู้จัก เช่น เพื่อน, สมาชิกในครอบครัว หรือผู้ที่เหยื่อรู้จัก เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินหรือทำบางสิ่งบางอย่าง โดยเสียงที่ถูกปลอมแปลงนั้นจะฟังดูเหมือนเสียงของคนที่เหยื่อไว้วางใจ ซึ่งมักจะใช้ในการขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน เช่น การขอให้โอนเงินไปช่วยเหลือในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจริง เช่น การประสบอุบัติเหตุหรือถูกจับกุมในต่างประเทศ
- หลอกให้ทำงานเสริมผ่านช่องทางออนไลน์: สร้างประกาศรับสมัครงานพาร์ทไทม์ที่ดูน่าสนใจ เหมือนเป็นการหาเงินออนไลน์ ถูกกฎหมาย โดยมีการโฆษณาที่จูงใจ เช่น เสนอค่าคอมมิชชันสูง ทำงานจากที่บ้าน หรือใช้เพียงสมาร์ทโฟนในการทำงาน โดยส่วนใหญ่แล้วงานเหล่านี้มักจะเป็นงานที่ไม่เคยมีจริง อ้างว่าเป็นงานผ่านแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียง เช่น TikTok, YouTube, Lazada และอื่นๆ โดยหลอกล่อให้เหยื่อกด LIKE, SHARE หรือทำการเพิ่มยอดวิว หรือแม้แต่แกล้งรับออเดอร์ ทำสต็อกสินค้า แต่สุดท้ายเมื่อเหยื่อโอนเงินค้ำประกันหรือตกลงตามเงื่อนไข กลับถูกหลอกให้สูญเสียเงินทั้งหมดโดยที่มิจฉาชีพหนีไป
- หลอกให้ไปทำงานต่างประเทศ: โฆษณาหรือสร้างโปรแกรมที่ดึงดูดให้เหยื่อหลงเชื่อว่าจะมีโอกาสทำงานในต่างประเทศ พร้อมรายได้ที่ดี เมื่อเหยื่อหลบหนีออกจากประเทศและเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว กลับถูกบังคับให้ทำงานผิดกฎหมายหรือใช้แรงงานอย่างทาส โดยมีการคุมขังและไม่สามารถออกจากสถานที่ได้
- ขอรับเงินช่วยเหลือ: อ้างว่าตนเองต้องการความช่วยเหลือจากภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน และขอรับบริจาค เช่น การส่งข้อความอีเมลหรือข้อความผ่านโซเชียลมีเดียขอเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
- หลอกลวงการขายอสังหาริมทรัพย์: เสนอขายบ้าน ที่ดิน หรือปล่อยเช่าคอนโดที่ไม่มีอยู่จริง โดยขอให้ผู้ซื้อโอนเงินมัดจำ เช่น โฆษณาขายบ้านในทำเลที่ดี แต่เมื่อไปดูจริงกลับไม่สามารถติดต่อเจ้าของได้
- หลอกลวงให้กดไลค์หรือแชร์: เชิญชวนให้แชร์โพสต์หรือกดไลค์บนโซเชียลมีเดีย โดยอ้างว่าจะได้รับรางวัลหรือส่วนลดจากร้านค้าต่างๆ แต่จริงๆ แล้วโพสต์เหล่านี้มักจะมีการใช้ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานหรือเพิ่มการเข้าถึงโปรไฟล์ของเหยื่อ เช่น โฆษณาบน Facebook หรือ Instagram ที่อ้างว่า "แชร์โพสต์นี้เพื่อรับส่วนลด 50% สำหรับการซื้อครั้งถัดไป" แล้วนำไปสู่เว็บไซต์ที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อเข้ารับรางวัล
- หลอกลวงให้สมัครสมาชิก: ให้สมัครสมาชิกที่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง โดยมักจะใช้ข้อเสนอที่ดูน่าสนใจ เช่น การสมัครเพื่อรับข้อมูลพิเศษ หรือข้อเสนอพิเศษจากเว็บไซต์ต่างๆ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลหรือการเรียกเก็บเงินโดยไม่ได้รับบริการที่มีคุณภาพ
- หลอกให้ถ่ายภาพโป๊เปลือย: หลอกล่อให้เหยื่อหลงเชื่อและยอมส่งภาพโป๊เปลือยหรือภาพที่ไม่เหมาะสมไปให้ โดยอาจจะมีการสร้างความสัมพันธ์ทางออนไลน์หรืออ้างว่าเป็นเพื่อนที่คุยกันในระยะยาว หลังจากนั้น มิจฉาชีพจะใช้ภาพเหล่านั้นเพื่อแบล็คเมล์ข่มขู่เหยื่อให้โอนเงินหรือทำตามคำขอของพวกเขา เพื่อไม่ให้ภาพเหล่านั้นถูกเผยแพร่
- แชร์ลูกโซ่: หลอกล่อให้ร่วมลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง โดยการสร้างเครือข่ายหรือระบบการลงทุนที่อาศัยการแนะนำคนอื่นเข้าร่วมในระบบเพื่อสร้างรายได้ เมื่อเหยื่อชักชวนผู้อื่นมาร่วมก็จะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการสมัครสมาชิกใหม่ ซึ่งในที่สุดมักจะล่มสลายเมื่อไม่มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น และผู้ที่ลงทุนในช่วงท้ายจะสูญเสียเงินทั้งหมด
แนะนำวิธีป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์
หลังจากที่รู้แล้วว่าภัยจากมิจฉาชีพ มีอะไรบ้าง ตามมาดูกันว่าเราจะสามารถป้องกันการถูกหลอกลวงออนไลน์ได้อย่างไรบ้าง?
- ตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล: ก่อนที่จะคลิกลิงก์หรือให้ข้อมูลส่วนตัว ควรตรวจสอบแหล่งที่มาของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้มั่นใจว่าเป็นแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ธนาคารหรือแพลตฟอร์มที่คุณใช้บริการบ่อยๆ ตรวจสอบ URL ว่ามีความปลอดภัย (https://) หรือไม่
- ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์: ถ้าคุณโดนโทรมาแอบอ้างเป็นคนที่รู้จัก หรือหน่วยงานต่างๆ ให้ลองตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ ว่าใช่มิจฉาชีพหรือไม่ โดยสามารถตรวจสอบได้โดยเช็กเบอร์ AIS : กด *727* เบอร์โทรศัพท์# กดโทรออก เช็กเบอร์ DTAC : กด *102*เบอร์โทรศัพท์# กดโทรออก เช็กเบอร์ TRUE : กด *933*เบอร์โทรศัพท์# กดโทรออก เช็กเบอร์ TOT : กด *153*เบอร์โทรศัพท์# กดโทรออก
- ตรวจสอบบัญชีธนาคาร: ถ้าไม่แน่ใจชื่อบัญชีมิจฉาชีพ ให้ลองตรวจสอบบัญชีธนาคารว่าเป็นของมิจฉาชีพหรือไม่ ผ่านhttps://www.checkgon.com/ ก่อนที่จะทำการโอนเงินผิดบัญชี ไปหามิจฉาชีพ
- ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสผ่าน: หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ, ที่อยู่, หมายเลขบัตรเครดิต, หรือรหัสผ่านผ่านทางข้อความ, อีเมล หรือโทรศัพท์จากบุคคลที่ไม่รู้จัก แม้แต่กับผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารหรือบริษัทที่คุณทำธุรกิจด้วย
- ใช้รหัสผ่านที่มีความปลอดภัย: ตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อนและไม่ใช้รหัสผ่านเดียวกันสำหรับหลายบัญชี การใช้รหัสผ่านที่มีทั้งตัวอักษร, ตัวเลข, และอักขระพิเศษจะช่วยเพิ่มความปลอดภัย
- ยืนยันตัวตนผ่านหลายขั้นตอน (Two-factor authentication): เปิดใช้ระบบยืนยันตัวตนผ่านหลายขั้นตอน เช่น รหัส OTP หรือการสแกนลายนิ้วมือ จะเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัญชีของคุณ
- ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส: การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์ จะช่วยป้องกันการโจมตีจากโปรแกรมอันตรายที่อาจถูกใช้ในการหลอกลวงและขโมยข้อมูลของคุณ
- เรียนรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามออนไลน์: การศึกษาวิธีการที่มิจฉาชีพใช้ในการหลอกลวง เช่น สแกม หรือฟิชชิ่ง จะช่วยให้คุณรู้เท่าทันและหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อ
แนะนำวิธีแจ้งความออนไลน์เมื่อถูกโกงออนไลน์
ในกรณีที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงทางออนไลน์ แล้วต้องการแจ้งความ สามารถแจ้งความมิจฉาชีพออนไลน์ โดยทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. เข้าเว็บไซต์ของศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ https://www.thaipoliceonline.go.th/
2. ถ้ายังไม่เคยสมัครใช้งาน ให้ทำการลงทะเบียนก่อน หากเคยสมัครแล้ว ให้พิมพ์อีเมลและรหัสผ่านเพื่อเข้าสู่ระบบ
3. หลังจากเข้าสู่ระบบแล้ว เลือกตัวเลือก "แจ้งเรื่องใหม่" เพื่อเริ่มต้นการแจ้งความ
4. อ่านข้อความยินยอม แล้วเลือก "ยอมรับ"
5. ตอบคำถามที่ระบบกำหนดให้ครบถ้วน
6. กรอกข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหาย แล้วเลือก "ถัดไป"
7. อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเลือก "ถัดไป"
8. ระบุข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีต้นทาง (ของผู้เสียหาย) และบัญชีปลายทาง (ของมิจฉาชีพ) แล้วเลือก "ถัดไป"
9. กรอกรายละเอียดคร่าวๆ ของมิจฉาชีพที่เกี่ยวข้อง แล้วเลือก "เพิ่มรายการ" และ "ถัดไป"
10. แนบเอกสาร, รูปภาพ หรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง แล้วเลือก "เพิ่มรายการ" และ "ถัดไป"
11. เลือกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความผิดที่เกิดขึ้น แล้วเลือก "ถัดไป"
12. ตรวจสอบข้อมูลที่กรอกทั้งหมดให้ถูกต้อง แล้วเลือก "ยืนยัน"
รู้ทันกลโกงออนไลน์ ปลอดภัยไร้กังวล
เพื่อป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์ ผู้ใช้งานควรระมัดระวังเมื่อได้รับข้อความหรือข้อเสนอที่ดูน่าสงสัย ควรตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลและหลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวหรือการโอนเงินโดยไม่ตรวจสอบให้ดี นอกจากนี้ การใช้ระบบการยืนยันตัวตนสองขั้นตอนและตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่ใช้งานเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานออนไลน์
สำหรับใครที่กำลังมองหาตัวช่วยด้านการเงินยามฉุกเฉินที่ปลอดภัยไร้กังวล แนะนำบัตรกดเงินสด KTC PROUD สะดวกสบาย ทำรายการได้ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชัน KTC Mobile ไม่มีค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน พร้อมเพิ่มความมั่นใจด้วยการใช้ PIN 6 หลักเพื่อยืนยันการทำรายการ ปลอดภัยทุกการเบิกถอน
บัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยบริหารเงินยามฉุกเฉิน
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี