ว่าด้วยเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจ การทำให้แบรนด์ของตนเองโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถสื่อสารคุณค่าของตัวเองได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ นั่นก็คือ "Value Proposition" ซึ่งหัวใจหลัก คือการสื่อสารถึงคุณค่าของแบรนด์ เพื่อดึงดูดลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าในระยะยาว บทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Value Proposition คืออะไร แล้ว Value Proposition มีอะไรบ้าง รวมไปถึงเครื่องมือที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่น แตกต่างจากคู่แข่ง เพื่อความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น
Value Proposition คืออะไร ?
Value Proposition คือ คุณค่าของแบรนด์ที่ส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งเป็นข้อความที่บ่งบอกถึงประโยชน์หรือคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับจากผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจนั้นๆ โดยจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจว่าแบรนด์นั้นมีอะไรที่พิเศษและต่างจากคู่แข่งอย่างไร รวมถึงต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างชัดเจน สามารถมองเห็นได้ในทันทีด้วย เช่น เมื่อพูดถึง "กาแฟสด" คุณค่าของแบรนด์ที่ส่งมอบให้ลูกค้าที่ดีอาจจะเป็น "กาแฟสดรสชาติดีที่ให้พลังงาน เติมเต็มความสดชื่นตลอดวัน"
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมี Value Proposition ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย และส่งคุณค่าที่แท้จริงให้กับลูกค้า
Value Proposition สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร ?
1. ช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
Value Proposition คือส่วนสำคัญที่จะช่วยสร้างจุดเด่นและความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ทำให้ลูกค้าเห็นความพิเศษและตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์นั้นๆ ได้
2. ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
Value Proposition ทำให้ธุรกิจสามารถสื่อสารสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้สินค้าหรือบริการอย่างชัดเจน ซึ่งช่วยในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด
3. เพิ่มความไว้วางใจจากลูกค้า
เมื่อแบรนด์สามารถแสดงให้ลูกค้าเห็นว่า มีการส่งมอบคุณค่าที่ดีและตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ ลูกค้าก็จะเกิดความมั่นใจและไว้วางใจในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์นั้น
4. ช่วยในการตั้งราคา
Value Proposition ช่วยในการตั้งราคาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เหมาะสมกับคุณค่าและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ ทำให้ลูกค้ามองเห็นความคุ้มค่าในการซื้อ
5. ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
การส่งมอบคุณค่าจากตัวสินค้าและบริการ จะทำให้ลูกค้ามองเห็นประโยชน์ที่ได้รับ ส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำและเกิดความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ในระยะยาว
6. ช่วยในการสื่อสารการตลาด
Value Proposition คือเครื่องมือที่ช่วยในการออกแบบข้อความทางการตลาดและโฆษณาให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ส่งผลให้การสื่อสารของแบรนด์ทรงพลังและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. ช่วยในการพัฒนาและปรับปรุงสินค้า/บริการ
Value Proposition ทำให้ธุรกิจเข้าใจถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตรงกับความคาดหวังของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
8. ช่วยสร้างความจดจำและเอกลักษณ์ของแบรนด์
การมี Value Proposition ที่ชัดเจน จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งให้กับแบรนด์ ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ง่ายและเห็นถึงความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด
Value Proposition มีอะไรบ้าง?
1. คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ (Benefits)
เป็นสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น ความสะดวกสบาย ความประหยัดเวลา หรือประโยชน์อื่นๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาของลูกค้า
2. การแก้ปัญหาของลูกค้า (Problem Solving)
Value Proposition มักจะเกี่ยวข้องกับการเสนอวิธีการแก้ปัญหาหรืออุปสรรคที่ลูกค้าประสบอยู่ เช่น การทำให้ชีวิตของลูกค้าสะดวกขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพ การลดความเสี่ยงต่างๆ
3. ความแตกต่างจากคู่แข่ง (Differentiation)
การเสนอคุณค่าที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เช่น เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย คุณภาพที่เหนือกว่า หรือบริการที่พิเศษและไม่เหมือนใคร
4. คุณค่าที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า (Relevance)
Value Proposition จะต้องตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า โดยเฉพาะในเรื่องของฟังก์ชันการใช้งานและผลลัพธ์ที่ลูกค้าคาดหวัง
5. การสร้างประสบการณ์ที่ดี (Experience)
การให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการใช้สินค้า การบริการลูกค้า หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากเรานั้นคุ้มค่า
6. ราคา (Price)
ราคาของสินค้าและบริการที่ตรงกับคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า "คุ้มค่า" ในการจ่ายและไม่รู้สึกว่าราคาเกินความเป็นจริง
7. ความสะดวกและเข้าถึงง่าย (Convenience and Accessibility)
Value Proposition บางครั้งอาจจะเน้นที่ความสะดวกสบายในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น การช้อปออนไลน์ที่ง่ายหรือการให้บริการที่ตอบสนองได้ทันที
8. ความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ (Trust and Credibility)
การที่ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในคุณภาพของสินค้าและบริการ รวมถึงการรับประกันหรือการบริการหลังการขายที่ดี จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถไว้วางใจแบรนด์ได้
9. การทำให้ชีวิตง่ายขึ้น (Simplification)
Value Proposition บางตัวอาจเน้นการทำให้กระบวนการหรือวิธีการบางอย่างง่ายขึ้น เช่น การลดขั้นตอนซับซ้อน หรือการทำให้การใช้งานผลิตภัณฑ์ไม่ยุ่งยาก
Value Proposition Canvas คืออะไร ?
Value Proposition Canvas หรือ VPC คือ เครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์สามารถพัฒนาและปรับปรุงคุณค่าของสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ "Customer Profile" และ "Value Map" ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์เข้าใจถึงความต้องการและปัญหาของลูกค้า และสามารถออกแบบ Value Proposition ที่ตอบโจทย์ได้อย่างเหมาะสมและเหนือกว่าคู่แข่ง
Value Proposition Canvas ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
Value Proposition Canvas ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ
Customer Profile (โปรไฟล์ลูกค้า)
โปรไฟล์ลูกค้าคือการเข้าใจความต้องการและปัญหาของลูกค้า ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก
- Customer Jobs (ความต้องการของลูกค้า) คือ สิ่งที่ลูกค้าต้องการทำ หรือปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้ไข ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าต้องการผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น หรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
- Customer Pains (อุปสรรคหรือความไม่พึงพอใจ) คือ สิ่งที่ลูกค้าไม่ชอบหรือสิ่งที่ลูกค้าต้องการหลีกเลี่ยง อาจเป็นความยุ่งยากในการใช้งานสินค้าหรือบริการ หรือความรู้สึกไม่พอใจที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งของเราและของคู่แข่ง
- Customer Gains (ความคาดหวังหรือสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้รับ) คือ สิ่งที่ลูกค้าคาดหวังว่าจะได้รับจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ที่ลูกค้าคาดหวัง เช่น ความสะดวก ความคุ้มค่า หรือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
Value Map (แผนผังคุณค่า)
Value Map คือการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสำคัญ
- Products & Services (ผลิตภัณฑ์และบริการ) คือ สินค้าและบริการที่แบรนด์นำเสนอให้กับลูกค้า ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติและคุณค่าที่ตอบโจทย์ "Customer Jobs" ของลูกค้า มักจะมีจุดเด่นหรือความแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น ฟีเจอร์พิเศษ หรือประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
- Pain Relievers (การบรรเทาปัญหาหรืออุปสรรค) คือ วิธีหรือคุณสมบัติของสินค้าและบริการที่ช่วยแก้ปัญหาหรือลดอุปสรรคที่ลูกค้าประสบอยู่ โดยการออกแบบคุณสมบัติเหล่านี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสบายใจขึ้น และสามารถนำไปแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคได้ง่ายขึ้น
- Gain Creators (การสร้างความพึงพอใจ) คือ การออกแบบคุณลักษณะของสินค้าและบริการที่ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและได้รับประโยชน์มากขึ้น ซึ่งจะต้องตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้าและสร้างความประทับใจได้ เช่น การให้บริการที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษ หรือการให้บริการอย่างรวดเร็ว
วิธีใช้ Value Proposition Canvas
การใช้ Value Proposition Canvas จะช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาและปรับปรุงคุณค่าของแบรนด์ที่ต้องการส่งมอบให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้แบรนด์สามารถแข่งขันได้ในตลาด และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน และนี่คือวิธีการใช้ Value Proposition Canvas ให้เกิดประสิทธิภาพ
1. ระบุกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้การออกแบบคุณค่าของแบรนด์ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์จะต้องระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น อายุ อาชีพ หรือความสนใจ เพื่อให้สามารถสร้าง Value Proposition ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้
2. ต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า
การศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้แบรนด์เข้าใจความต้องการที่แท้จริงและปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ ซึ่งการใช้ Customer Profile ใน Value Proposition Canvas จะช่วยให้แบรนด์เข้าใจสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ปัญหาหรือความไม่พึงพอใจที่ของสินค้าหรือบริการ รวมไปถึงสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังได้รับ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมในการตอบโจทย์ลูกค้านั่นเอง
3. ระบุแนวทางแก้ไขปัญหาที่ใช่ให้กับลูกค้า
เมื่อเราเข้าใจความต้องการของลูกค้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบ Value Map โดยการเลือก Products & Services ที่มีคุณค่าและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ยังต้องพิจารณา Pain Relievers ซึ่งเป็นวิธีหรือคุณสมบัติที่สามารถบรรเทาปัญหาหรืออุปสรรคที่ลูกค้ากำลังเผชิญอยู่ พร้อมกับ Gain Creators ที่จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าและทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าดีขึ้น
4. สื่อสารคุณค่าที่แท้จริงให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
หลังจากที่เราได้ออกแบบ Value Proposition แล้ว สิ่งสำคัญคือเราต้องสื่อสารคุณค่าของสินค้าและบริการให้ลูกค้าเข้าใจอย่างชัดเจน ผ่านข้อความที่ตรงประเด็นและเข้าใจง่าย โดยใช้ภาษาที่สื่อสารถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณค่าที่นำเสนอเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและเหมาะสมกับความต้องการของพวกเขา
5. ทดสอบและปรับปรุง Value Proposition Canvas
หลังจากสื่อสารและนำเสนอ Value Proposition ไปแล้ว ควรทำการทดสอบและเก็บข้อมูลผลตอบรับจากลูกค้า เพื่อตรวจสอบว่า Value Proposition ที่ออกแบบไว้นั้นสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้จริงหรือไม่ ซึ่งการปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยน Value Proposition ตามผลลัพธ์จากการทดสอบ จะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นในระยะยาว
ตัวอย่างแบรนด์ที่มี Value Proposition แข็งแรง
Apple
Apple เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มี Value Proposition ที่ชัดเจนและโดดเด่น โดยเสนอคุณค่าที่มุ่งเน้นไปที่ "เทคโนโลยีล้ำสมัยในดีไซน์ที่ใช้งานง่าย" ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างนวัตกรรมและความสวยงามในตัวผลิตภัณฑ์ เช่น iPhone, MacBook และ Apple Watch ที่มีฟีเจอร์ที่ทันสมัยและใช้งานง่าย แต่ยังคงรักษาความหรูหราและภาพลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร
Apple สร้าง Value Proposition ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีและเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม ซึ่งสร้างความภักดีในกลุ่มลูกค้าของตนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีระบบการเชื่อมโยงในแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ทำให้ลูกค้าสามารถใช้บริการต่างๆ ได้อย่างราบรื่น เช่น iCloud, Apple Music ซึ่งช่วยเสริมสร้างคุณค่าของแบรนด์ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
Netflix
Netflix มี Value Proposition ที่แข็งแกร่งมาก โดยนำเสนอการ "รับชมความบันเทิงที่ไม่จำกัดทุกที่ทุกเวลา" ด้วยการให้บริการสตรีมมิ่งที่สามารถดูหนังและซีรีส์ได้จากทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือทีวี โดยลูกค้าสามารถเลือกดูคอนเทนต์ที่ต้องการในเวลาและสถานที่ที่สะดวก
ซึ่ง Netflix มุ่งเน้นการสร้าง Value Proposition ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบายในการเลือกชมรายการที่ชื่นชอบ ด้วยการให้บริการที่ไม่มีโฆษณารบกวน และคอนเทนต์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่มผู้ชม ด้วยราคาที่สามารถเข้าถึงได้
Amazon
Amazon สร้าง Value Proposition ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหาความสะดวกสบายในการ "ช้อปออนไลน์ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และสะดวกสบาย" โดยมีสินค้าที่หลากหลาย สามารถจัดส่งถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง
Amazon มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ง่ายดาย ด้วยฟังก์ชันต่างๆ เช่น การสั่งซื้อที่รวดเร็ว, การชำระเงินที่ปลอดภัย, บริการจัดส่งที่หลากหลาย รวมทั้งการบริการลูกค้าที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยสร้างความพึงพอใจและความภักดีจากลูกค้าอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ยังมี Amazon Prime ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าด้วยบริการเพิ่มเติม เช่น การจัดส่งฟรีและการเข้าถึงคอนเทนต์สตรีมมิ่ง เช่น เพลงและภาพยนตร์
สรุปแล้วการใช้ Value Proposition Canvas จะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์การตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทำให้แบรนด์มีความโดดเด่นจากคู่แข่ง สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้นั่นเอง
ซึ่งบัตรเครดิต KTC เอง ก็นับว่าเป็นบัตรเครดิตที่ตอบโจทย์ทุกส่วนใน Value Proposition Canvas ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Customer Profile หรือ Value Map ที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า จนออกแบบบัตรเครดิตที่มีให้เลือกตามไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม มาพร้อมสิทธิประโยชน์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดจากที่พัก ร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำ, การสะสมคะแนน KTC FOREVER โดยทุกการใช้จ่ายผ่านบัตร 25 บาท จะได้รับ 1 คะแนน KTC FOREVER ซึ่งสามารถนำคะแนนไปแลก ส่วนลด สินค้า/บริการ ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการได้ และคะแนน KTC FOREVER ไม่มีวันหมดอายุอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสมัครบัตรเครดิต KTC ออนไลน์ ได้เลยตอนนี้ ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC