ลูกจ้างควรรู้สิทธิ์ได้รับเงินประกันสังคม 50% เมื่อว่างงาน
ประกันสังคมเป็นหลักประกันของลูกจ้างที่นายจ้างทำเอาไว้ เพื่อเป็นกองทุนเมื่อเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุซึ่งตรงตามเงื่อนไขที่ประกันสังคมคุ้มครอง โดยเงินทุนในกองทุนประกันสังคมของผู้ประกันตน ม.33 เป็นการหักจากเงินเดือนทุก ๆ เดือนของลูกจ้าง รวมกับเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบเข้ากองทุน ขณะที่ผู้ประกันตน ม.39 และผู้ประกันตน ม.40 ต้องจ่ายเงินสมทบด้วยตนเองทั้งหมด
การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบในช่วงโควิด
การชดเชยในช่วงโควิดป็นการชดเชยให้ธุรกิจที่ได้ผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งกินเวลานานเกือบ 2 ปี ทั้งยังค้นพบโควิดสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ ประกอบกับมาตรการหลายอย่างที่รัฐบาลออกมาเพื่อควบคุมการแพร่กระจายเชื้อส่งผลต่อธุรกิจบางประเภท ฉะนั้นมาตรการเยียวยาโควิด-19 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ได้รับผลกระทบจึงเป็นอีกช่องทางช่วยเหลือของภาครัฐ และการเยียวยาลูกจ้าง นายจ้างในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 มีดังนี้
- มอบเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน มาตรา 33 ที่หยุดงานตามคำสั่งล็อกดาวน์ เป็นเงิน 50% ของรายได้ (สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท)
- ผู้ประกันตน มาตรา 33 ที่ไม่ได้หยุดงาน และมีสัญชาติไทย รับเงินเยียวยา 2,500 บาท
- นายจ้างของผู้ประกันตน มาตรา 33 รับเงินเยียวยาโควิดตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท แต่สูงสุดไม่เกิน 200 คน
- ผู้ประกันตน มาตรา 39 ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท
- ผู้ประกันตน มาตรา 40 ใน 9 กิจการ ได้รับ 5,000 บาท
สำหรับระยะเวลาจ่ายเงินเยียวยาโควิด-19 นั้น เดิมสิ้นสุดภายในเดือนสิงหาคม 2564 แต่ทั้งนี้อาจมีการยืดเวลาออกไปอีก เพื่อให้การเยียวยาโควิดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายคงต้องรอความชัดเจนเรื่องดังกล่าวจากรัฐบาลอีกครั้ง
นอกจากโครงการเยียวยาประกันสังคมในข้างต้นแล้ว สำนักงานประกันสังคมยังเพิ่มช่องทางช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ประกันตนที่อยู่ในสถานะว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย
การชดเชยรายได้ของผู้ประกันตน ม.33
โควิดเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ต้องได้รับการเยียวยา
เงินชดเชยรายได้ประกันสังคมมีทั้งกรณีป่วย รวมถึงเงินชดเชยรายได้ประกันสังคมเมื่อติดโควิด เงินชดเชยรายได้ประกันสังคมมื่อได้รับบาดเจ็บ เงินชดเชยรายได้ประกันสังคมเมื่อว่างงาน และช่วงโควิดระบาดทางสำนักงานประกันสังคมออกนโยบายเยียวยา 50% กรณีว่างงานให้ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบ อันเนื่องมาจากบริษัทต้องปิดตัวลง ถูกปลดออกจากงาน หรือถูกลดเงินเดือน สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเป็นอยู่ของลูกจ้างหลายคนลำบากกว่าเดิม โดยเฉพาะผู้ที่ว่างงาน ประกันสังคมจึงมีแนวทางการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 สำหรับกรณีว่างงานช่วงโควิด ดังนี้
- กรณีถูกเลิกจ้าง
การถูกเลิกจ้างจากนายจ้างจะได้รับเงินยียวยา 70% ของเงินเดือน คิดจากฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท ลูกจ้างได้รับเงินชดเชยสูงสุด 10,500 บาท ไม่เกิน 200 วัน/ปี
- กรณีลาออกด้วยความสมัครใจ
แม้ลาออกจากงานด้วยตนเองก็มีสิทธิ์รับเงินชดเชยเช่นกัน โดยจะได้รับเงินชดเชย 45% ของเงินเดือน คิดตามฐานเงินเดือนสูงสุด 15,000 บาท ไม่เกิน 90 วัน/ปี
- กรณีว่างงานเนื่องจากโควิด
การว่างงานเนื่องจากบริษัทหรือองค์กรปิดตัวจากโควิดจะได้รับเงินชดเชย 50% จากฐานเงินเดือน สูงสุด 7,500 บาท ไม่เกิน 90 วัน
เงินชดเชยรายได้โควิดที่สำนักงานประกันสังคมออกมาเพื่อช่วยเหลือผู้ประกันเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น เมื่อครบกำหนดในวันที่ 1 มีนาคม 2565 เงินชดเชยรายได้ในกรณีต่าง ๆ จะกลับมาใช้อัตราเดิม คือ กรณีเลิกจ้างชดเชย 50% ของเงินเดือน และกรณีลาออกชดเชย 30% ของเงินเดือน
การขาดรายได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต เงินชดเชยจึงเป็นตัวช่วยสำคัญในช่วงว่างงาน และเพื่อความไม่ประมาทควรมีการวางแผนทางการเงิน ทั้งการเก็บเงินสำรอง การมีบัตรกดเงินสดสำหรับกดเงินด่วนฉุกเฉิน และบัตรเครดิตสำหรับการรูดจ่ายสิ่งของจำเป็นแล้วผ่อนจ่ายทีหลังก็ช่วยให้คุณก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้
ทำบัตรเครดิตสำหรับรูดซื้อสินค้ายามจำเป็น
การชดเชยรายได้ 50% ในช่วงโควิด มีเงื่อนไขอย่างไร
ช่วงโควิดส่งผลกระทบต่อกิจการหลายอย่าง ทำให้มีลูกจ้างหลายคนถูกเลิกจ้างและว่างงาน เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นประกันสังคมจะเยียวยา 50% มีเงื่อนไขดังนี้
- เป็นผู้ประกันตนของประกันสังคม มาตรา 33
- ส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมไม่น้อยกว่า 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนว่างงาน
ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดสามารถรับสิทธิ์ชดเชยรายได้จากประกันสังคม โดยการรับงินชดเชยกรณีโควิด นายจ้างสามารถยื่นเรื่องผ่านระบบ e-service ไม่จำเป็นต้องเดินทางมายังสำนักงานประกันสังคม เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19
อัตราการว่างงานในปัจจุบันสูงขึ้นเนื่องมาจากการระบาดของโควิด และมีแนวโน้มคนว่างงานเพิ่มขึ้นอีกหลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เนื่องจากความกดดันในภาระงานทำให้หลายคนมองหางานใหม่ ประกอบกับการทำงานที่บ้านเป็นเวลานานเป็นผลให้บางคนไม่ต้องการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศอีก เพื่อเป็นการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น การมีบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดสำหรับสำรองค่าใช้จ่ายและลดการใช้เงินก้อนจึงเป็นตัวช่วยที่ไม่ควรละเลย เพื่อให้การใช้จ่ายระหว่างขาดรายได้ไม่ติดขัด แต่ต้องไม่ลืมใช้จ่ายพอดีตัว ผ่อนจ่ายบัตรเครดิตเสมอ ไม่เช่นนั้นบัตรเครดิตอาจให้โทษมากกว่าให้คุณ
มีบัตรเครดิตติดตัว ช่วยผ่อนจ่ายสินค้า ลดการใช้เงินก้อน
ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี
บัตรกดเงินสด ตัวช่วยสำรองเงินก้อนยามฉุกเฉิน
เบิกถอนเงินสด แบ่งผ่อนชำระได้ทุกที่ทุกเวลา