หากลองเปิดดูแผนที่ของประเทศอิตาลี แล้วกวาดตาดูรายละเอียดของพื้นที่รอบๆ นครมิลาน จะเห็นว่ามีที่ราบผืนใหญ่โอบล้อมนครมิลานอยู่ทั้งสามด้าน เหลือแต่ด้านเหนือที่แผ่นดินลาดชันขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นเทือกเขาแอลปส์ซึ่งทอดตัวจากตะวันตกจรดทิศตะวันออก ยาวตลอดแนวพรมแดนอิตาลีกับสวิสเซอร์แลนด์ แมตเตอร์ฮอร์น ยอดเขารูปสามเหลี่ยมที่ดูราวกับพีระมิดธรรมชาติ อันปรากฏเป็นสัญลักษณ์ชอกโกแลตที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีก็ตั้งอยู่ในแถบนี้ด้วย
ในท่ามกลางเทือกเขาแอลป์สสูงตระหง่าน เราจะเห็นรอยบากสีฟ้าเข้มแทรกตัวอยู่เป็นระยะ รอยบากทั้งหมด วางตัวในแนวเหนือใต้ ราวกับรอยเล็บหมี รอยใหญ่ที่สุดทางทิศด้านตะวันตกคือทะเลสาป Maggiore ถัดมาคือทะเลสาป Lugano Como, D’Iseoและทะเลสาป Garda ทะเลสาปเหล่านี้ คือมรดกทางธรณีวิทยาของยุคน้ำแข็งเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เมื่อธารน้ำแข็งที่มีน้ำหนักมหาศาล เคลื่อนตัวออกจากเทือกเขาแอลปส์ มุ่งลงสู่งที่ราบด้านใต้ ระหว่างทาง น้ำแข็งอายุนับพันๆ ปีที่แกร่งและคมราวกับเพชรก็บดขยี้ และกรีดร่องลึกลงบนหินผา เมื่อธารน้ำแข็งยักษ์มลายหายไปพร้อมกับการสิ้นสุดของยุคน้ำแข็ง จึงเหลือทะเลสาปอันตระการตา ให้ชาวมิลานหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่มาหย่อนใจในวิลล่าริมน้ำ และเดินสำรวจหมู่บ้านขนาดกระทัดรัด ในวงล้อมของขุนเขา
ทะเลสาปแต่ละแห่งมีจุดขายที่โดดเด่นต่างกันไป นักแล่นเรือใบและวินซ์เสิร์ฟคงต้องมุ่งหน้าไปหาลมแรงของทะเลสาป Garda สาวกของเฮมมิงเวย์คงต้องไปตามรอยนักเขียนในดวงใจที่ทะเลสาป Maggiore หากความสงบคือสุดยอดความปรารถนา เราแนะนำทะเลสาป d’Iseoแต่ถ้าถามว่า ทะเลสาปแห่งไหนมีสิ่งน่าสนใจครบรส ทั้งยังเดินทางท่องเที่ยวได้สะดวกที่สุด คำตอบคงหนีไม่พ้นทะเลสาป Como
รถไฟและรถบัสจะพาคุณออกจากนครมิลาน ไปยืนสูดอากาศแสนสดชื่นริมทะเลสาป Como ภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เครือข่ายรถบัสและเรือเฟอร์รี่ เปิดโอกาสให้คุณจัดแผนการเดินทางเที่ยวทะเลสาป Como ตามต้องการ ใครที่มีเวลาจำกัดเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับก็ได้ แต่ถ้าอยากจะใช้เวลาเนิบช้าอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศอันงดงาม เราแนะนำให้พักค้างคืนในเมืองเล็กๆ อย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อจะได้สัมผัสเสน่ห์ของโคโม่ในช่วงวเลาที่งดงามที่สุดในยามเช้าและยามเย็น
LECCO เมืองเกิดของแมนโซนี่
จากสถานี Milano Centrale อันใหญ่โตอลังการ รถไฟมุ่งหน้าขึ้นเหนือผ่านเมืองบริวารของมิลานที่ชื่อ Monza ก่อนที่วิวนอกหน้าต่างจะเริ่มเปลี่ยนจากที่ราบที่ทอดตัวไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นเนินเขาลูกแล้วลูกเล่าที่ปรากฏถี่ขึ้นเรื่อยๆ หลังจากลัดเหลี่ยมเขามาสักพัก ผืนน้ำสีขนาดใหญ่ก็ปรากฏให้เห็นทางฝั่งซ้าย นี่คือส่วนปลายด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาปโคโม่ ที่มีรูปร่างเหมือนตัว Y กลับหัว บางครั้งก็เรียกทะเลสาปส่วนนี้ว่า ทะเลสาป Lecco ตามชื่อเมืองหลัก
ผู้ปกครองราชวงศ์วิสคอนติแห่งมิลานถนุถนอม Lecco ในฐานะเมืองที่เชื่อมโยงเส้นทางการค้าและได้สร้างสะพานหิน 8 โค้งที่เรียกกันติดปากว่า Ponte Vecchioหรือสะพานเก่า เอาไว้ แต่นักท่องเที่ยวชาวอิตาลีส่วนใหญ่ที่ก้าวลงจากรถไฟที่สถานี Lecco กลับมาตามรอย Alessandro Manzoni ยอดนักเขียนผู้ลือนาม เจ้าของผลงานวรรณกรรมอมตะเรื่อง I PromessiSposi (คู่รักแห่งคำมั่นสัญญา) ที่ชาวอิตาลีทุกคนรู้จักกันดี มานโซนีเกิดที่เมือง Lecco ในปี 1785 พิพิธภัณฑ์และรูปปั้นที่ปรากฏอยู่ทุกมุมเมืองคือหลักฐานว่าชาว Lecco ภูมิใจกับชาวเมืองผู้นี้มากเพียงใด
VARENNAลัดเลาะริมน้ำสู่วิลล่าหรู
จาก Lecco รถไฟแล่นเลาะทะเลสาปขึ้นไปทางเหนือ ผ่านอุโมงค์และหมู่บ้านเล็กๆ อีกหลายแห่ง จนมาถึงสถานี Varenna-Esino ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในอาคารสถานีรถไฟพร้อมให้ข้อมูลเรื่องแผนที่และช่วยคุณวางเส้นทางการท่องเที่ยวในแถบโคโม่ แต่นั่นอาจไม่จำเป็นนักผืนน้ำสีฟ้าเข้มของทะเลสาปโคโม่ ปรากฏชัดอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว เพียงแค่เดินลัดเลาะตามถนนปูหินลงไปยังชายน้ำ เก็บภาพดอกไม้งามๆ ตามรั้วบ้าน คุณก็จะเดินมาถึงริมทะเลสาปในไม่กี่นาที เมือง Varennaตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านตะวันออกของทะเลสาปโคโม่ ในบริเวณสามแยกของตัว Y คว่ำ หรือที่เรียกว่า “ช่วงกลางของทะเลสาป” ซึ่งว่ากันว่าเป็นส่วนที่สวยที่สุดของทะเลสาปโคโม่ หากไปยืนอยู่ริมน้ำ คุณจะเห็นหมู่บ้าน Bellagio ตั้งอยู่บนหัวแหลมกลางน้ำ ไกลออกไปคือชายฝั่งด้านตะวันตก ที่ตั้งของเมือง Menaggioและ Tremezzo
ก่อนที่จะปรี่ขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปยัง Bellagio เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง เดินลัดเลาะไปตามทางเดินริมน้ำ ผ่านร้านรวงเล็กๆ ที่ขายอาหาร ขนม เจลาโต้ ของที่ระลึก และหนุ่มน้อยนั่งเล่นดนตรีข้างทะเลสาป เสียงแอคคอร์เดียนสไตล์อิตาเลี่ยนเติมความครึกครื้นพอรื่นรมย์ มีหลักฐานว่าชาวประมงในแถบนี้สร้างเมือง Varennaขึ้นตั้งแต่ 1,200 ปีที่แล้ว บ้านเรือนหลายหลังที่คุณจะพบในเมืองนี้ก็สร้างมาตั้งแต่ยุคกลาง สถานที่ท่องเที่ยวที่เด่นที่สุดของเมืองนี้ คือ Villa Monasteroคฤหาสน์ใหญ่โตสมัยศตวรรษที่ 17 ที่แวดล้อมด้วยพร้อมสวนสวย และวิวทะเลสาปโคโม่ในมุมที่ดีที่สุด
BELLAGIO หัวใจที่น่ารักของโคโม่
เรือเฟอร์รี่จาก Varenna พาเราล่องผ่านผืนน้ำสีฟ้าเข้มสู่เมือง Bellagio อันโด่งดัง Bellagio ตั้งอยู่บนหัวแหลม ตรงจุดที่หินมีความแกร่งมากจนสามารถยืนหยัดต่อสู้กับพลังของธารน้ำแข็งอยู่นับหมื่นปี จนธารน้ำแข็งมุดตัวลงไปคว้านก้นทะเลสาปโคโม่จนลึกกว่า 400 เมตร และธารน้ำแข็งที่เหลือก็ไหลเบี่ยงออกไปสองข้าง จนทะเลสาปโคโม่มีสัณฐานรูปตัว Y คว่ำอย่างที่เห็น บางคนกล่าวว่า หัวแหลมของเมือง Bellagio คือตำแหน่งที่เป็นแก่นแกนของธรรมชาติ ทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงจิตวิญญาณเสียด้วยซ้ำ แต่นอกเหนือจากความสำคัญเขิงปรัชญา Bellagio ก็เป็นเมืองน่ารักที่ ใครๆ ต่างอยากมาใช้เวลาเดินเล่นกินลม ชมวิวพาโนรามา จิบกาแฟแก้วแรกของวันตามคาเฟ่น่ารักในยามเช้า ชิมพาสต้าในยามบ่าย พอตกเย็นก็จิบไวน์พร้อมละเลียดรสอาหารที่ปรุงจากปลาที่จับจากทะเลสาปในร้านอาหารชั้นดีที่มีให้เลือกมากมาย ร้านค้าที่ขายข้าวของแฮนด์เมต และผลิตภัณฑ์เกษตรคุณภาพดีจากหมู่บ้านรอบๆ รอให้คุณเดินผ่อนใจสบายๆ ก่อนจะไปหยุดพักที่ม้านั่งยาวแถบริมน้ำ หากมีเวลามากสักหน่อย ลองเดินทอดล่องออกสำรวจมุมที่เงียบสงบกว่าของ Bellagio ไม่ว่าจะเป็นถนนที่มุ่งสู่บริเวณหัวแหลมเพื่อมองเก็บวิวพาโนราม่าของทะเลสาปที่มีเทือกเขาแอลปส์ทอดตัวเป็นฉากหลังแบบเต็มตา หรือจะเดินลงเนินไปสำรวจหมู่บ้านเล็กๆ ทางฟากตะวันออกก็น่าสนใจ เส้นทางเดินริมน้ำ ที่ทอดสู่ทิศใต้จะนำคุณไปยัง Villa Melzi คฤหาสน์ที่เด่นที่สุดของ Bellagio ที่มีความเป็นมาตั้งแต่สมัยนโปเลียนครองยุโรป แต่ถ้าอยากชมคฤหาสน์ที่มาพร้อมกับสวนพฤกษศาสตร์ฉบับเต็ม คุณต้องไม่พลาดชม Villa Carlotta เพชรเม็ดงามของเมือง Tremezzo บนอีกฟากของทะเลสาปการใช้เวลาสักคืนสองคืนใน Bellagio จะช่วยให้คุณหลงเสน่ห์ความชิล และชีวิตเนิบช้าแต่หรูหราของชาวอิตาลี จนเข้าใจว่า ทำไมเมืองเล็กๆ แถบนี้จึงเป็นจุดหมาย ที่เศรษฐีทั่วโลกอยากจะมาใช้เวลาพักผ่อนในยามเกษียณ
COMO เมืองเก่าของวัยละอ่อน/ เมืองเก่าที่แสนอ่อนเยาว์
ท่าเรือของ Bellagio เป็นชุมทางของระบบเรือเฟอร์รี่ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารทั่วทะเลสาปโคโม่ การนั่งเรือด่วนจาก Bellagio จะพาคุณผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่ทอดตัวขนานไปกับชายฝั่ง เปิดมุมมองให้คุณชมขุนเขาแบบเต็มตา ลองกวาดตาหา Villa del Balbianelloที่ตั้งเด่นอยู่บนปลายแหลมใกล้เมือง Lennoก่อนที่เรือจะถึงปลายทางที่เมืองโคโม่ คุณจะเห็นสระว่ายน้ำ และอาคารสีขาวของ Villa d’Esteโรงแรมสุดหรูที่คิดค่าเข้าพักคืนละ 800 ยูโรอยู่ทางขวา
เมืองโคโม่ อาจจะไม่เล็กกระทัดรัด น่ารักน่าเดินสำรวจอย่าง Bellagio หรือ Varennaทว่า เมืองใหญ่ที่สุดในแถบนี้ที่ปรากฏหลักฐานมาตั้งแต่ยุคโรมัน ก็มีสิ่งน่าสนใจพอจะเต็มเติมเวลาสักครึ่งวันได้สบาย ย่านเมืองเก่าซึ่งเคยอยู่ในวงล้อมของกำแพงเมืองโบราณ ถูกจัดเป็นพื้นที่ปลอดรถยนต์ จึงมีผู้คนทุกเพศทุกวัยมานั่งเล่นและเดินทอดน่องอยู่หนาตา จตุรัส Piazza Duomoคือจุดแฮงค์เอ้าน์ที่สำคัญของวัยรุ่นโคโม่ มหาวิหาร Duomoของโคโม่ อาจไม่ดูวิจิตรตระการตาเท่ากับ Duomoของมิลาน แต่กลับมีการผสมผสานอิทธิพลศิลปะหลากหลายเกินตัว ตั้งแต่โรมาเนสก์ เรอเนสซองต์ จนถึงบาโรค สองข้ามประตูทางเข้าหลักมีประติมากรรมของ Pliny the elder หรือ ไพลนี่ผู้ลุง กับ Pliny the younger หรือไพลนี่ผู้หลานสองนักธรรมชาติวิทยาชาวโคโม่ ผู้บันทึกเหตุการณ์ภูเขาไฟวิซุเวียสปะทุและทำลายนครปอมเปอี ทั้งยังเขียนตำราว่าด้วยสรรพความรู้ด้านธรรมชาติในยุคโรมันอีกด้วย
ถึงจะเป็นเมืองเก่าแก่ แต่โคโม่กลับเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของคนรุ่นใหม่ มีร้านคอนเซ็ปต์สโตว์ดีไซน์สุดเดิ้น และแกลลอรี่ที่โดดเด่นหลายแห่งผุดขึ้นหลายมุมเมือง แม้กระทั่งฟอนท์หน้าตึกเก่าๆ ก็ยังเท่มีสไตล์ บ่งถึงกระแสการขาย
ก่อนขึ้นรถไฟกลับมิลานเราปิดฉากโปรแกรมสำรวจทะเลสาปด้วยการขึ้นรถกระเช้าสายประวัติศาสตร์ ซึ่งเปิดบริการครั้งแรกเมื่อปี 1894 เพื่อขึ้นไปชมวิวมุมสูงจากหมู่บ้านBrunateที่อยู่ยอดเขาสูงจากเมืองโคโม่ถึง 720 เมตรจากหน้าต่างของรถกระเช้าเรามองเห็นตัวเมืองโคโม่แผ่คลุมที่ราบจนเต็มเห็นยอดโดมของDuomoโดดเด่นอยู่ท่ามกลางตึกสีน้ำตาลขาวสลับกันหนาแน่น ไกลออกไปคือเทือกสลับซับซ้อนสุดสายตา แต่ไม่ว่าเราจะเสพวิวทะเลสาปโคโม่จากยอดเขาสูงหรือจากเรือกราบเรือทะเลสาบตัว Y คว่ำที่โอบด้วยภูเขาตั้งแต่เหนือจรดใต้แห่งนี้ก็มีอากาศสดชื่นเย็นสบาย พร้อมแสงแดดในระดับกำลังดีมีประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยโรมัน ในน้ำมีปลานานาพันธุ์ พร้อมเชฟมือฉมังที่พร้อมเสิร์ฟอาหารมื้อสุดพิเศษ
ด้วยจุดขายที่เพียบพร้อมเหล่านี้ จึงไม่น่าประหลาดใจว่าเหตุใดชาวอิตาลี ชาวยุโรป และผู้คนจากทั่วโลกจึงหวังว่าจะได้มีโอกาสมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์สุดโรแมนติกในแถบทะเลสาปโคโม่สักครั้ง