ปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า โซเชียลมีเดีย และเทรนด์ใหม่ๆ มีผลต่อการใช้ชีวิตและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก โดยพฤติกรรมของคนเรามักถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลักที่มีมุมมองแตกต่างกัน คือ FOMO (Fear of Missing Out) และ JOMO (Joy of Missing Out)
การออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น นักการตลาดจำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับคำว่า FOMO และ JOMO รวมถึงวิธีใช้ FOMO Marketing และ JOMO Marketing เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจกับกลยุทธ์เหล่านี้กัน
FOMO คืออะไร ? ย่อมาจากอะไร ?
FOMO ย่อมาจาก Fear of Missing Out หรือ ความกลัวที่จะพลาดสิ่งสำคัญ เป็นความรู้สึกกังวลว่าจะตกกระแส หรือพลาดโอกาสดีๆ ที่คนอื่นกำลังพูดถึง คนที่อยู่ในกลุ่ม FOMO คือกลุ่มที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในโลกโซเชียล
JOMO คืออะไร ? ย่อมาจากอะไร ?
JOMO ย่อมาจากคำว่า Joy of Missing Out หรือ ความสุขจากการไม่ได้เข้าร่วม ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องหรือตามกระแสตลอดเวลา เป็นกลุ่มคนที่ไม่สนใจเสพข่าวสารหรือเทรนด์ที่กำลังฮิต ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตแบบเน้นความสุขจากสิ่งที่เรียบง่ายโดยไม่ต้องแข่งขันกับกระแสสังคม
FOMO และ JOMO เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก และพฤติกรรมของคนในยุคดิจิทัลที่สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันกับโลกออนไลน์และสังคม
พฤติกรรมของกลุ่ม FOMO และ JOMO ต่างกันอย่างไร ?
• พฤติกรรมของกลุ่ม FOMO
ด้านการตัดสินใจซื้อ
คนในกลุ่ม FOMO คือคนที่รีบตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าจะพลาดดีลพิเศษ โปรโมชั่น หรือสินค้าที่มีจำนวนจำกัด
ด้านการใช้โซเชียลมีเดีย
คนกลุ่มนี้จะติดตามโซเชียลมีเดีย อัพเดทข่าวสารและเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยพวกเขาต้องการอยู่ในกระแสและไม่อยากตกข่าวจากสังคมออนไลน์
ด้านการแสดงออกในสื่อออนไลน์
กลุ่ม FOMO คือกลุ่มคนที่มักจะชอบแชร์สิ่งที่ตัวเองกำลังทำหรือสิ่งที่ตัวเองได้เข้าร่วม เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าพวกเขาไม่พลาดสิ่งสำคัญหรือกิจกรรมที่น่าสนใจ
• พฤติกรรมของกลุ่ม JOMO
ด้านการตัดสินใจซื้อ
คนกลุ่มนี้มักตัดสินใจซื้อสินค้าที่ตรงตามความต้องการจริงๆ โดยจะคำนึงถึงความคุ้มค่าและความพอใจในสิ่งที่เลือกซื้อ จะไม่เร่งรีบหรือตัดสินใจจากแรงกดดันภายนอก
ด้านการใช้โซเชียลมีเดีย
คนในกลุ่ม JOMO มักจะไม่ได้ติดตามโซเชียลมีเดียเป็นประจำ และไม่ได้อัปเดตข่าวสารหรือเทรนด์ใหม่ๆ มากนัก
ด้านการแสดงออกในสื่อออนไลน์
คนในกลุ่ม JOMO จะแชร์หรือโพสต์สิ่งที่ตัวเองสนใจมากกว่าสิ่งที่อยู่ในกระแส และไม่ค่อยให้ความสนใจกับการเป็นที่ยอมรับในโลกออนไลน์
เทคนิคในการเลือกใช้ FOMO Marketing หรือ JOMO Marketing
• การใช้ FOMO Marketing
เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่ชอบติดตามเทรนด์และไม่อยากพลาดโอกาส โดยสามารถใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การกดดันด้วยเวลาและจำนวนจำกัด เช่น การทำ Flash Sale หรือ Limited Collection ซึ่งกระตุ้นให้กลุ่มนี้ตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถสร้างคอนเทนต์ที่พูดถึงประเด็นที่กำลังเป็นกระแส หรือโพสต์ทันทีที่มีการอัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ รวมถึงการใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยม เช่น TikTok, IG Story หรือ Facebook Reels เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และสร้างการรับรู้ที่รวดเร็ว
• การใช้ JOMO Marketing
เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความเรียบง่ายและเน้นคุณค่ามากกว่ากระแส โดยสามารถใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่เน้นคุณค่าและคุณภาพของสินค้า การสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวจากการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ หรือการสร้างคอมมูนิตี้สำหรับผู้ที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนกัน ควรหลีกเลี่ยงการใช้การตลาดที่กดดันหรือเร่งรีบ แต่ควรให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลที่จริงใจและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
การตลาดในปัจจุบันสามารถใช้ทั้ง FOMO Marketing และ JOMO Marketing ได้ ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายและลักษณะของแบรนด์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนที่ชอบติดตามเทรนด์ กลัวพลาดดีลพิเศษ อย่างกลุ่ม FOMO หรือคนที่ให้ความสำคัญกับคุณค่ามากกว่ากระแส อย่างกลุ่ม JOMO นักการตลาดก็ต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้เพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด
แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์แบบไหน ชอบกิน ชอบช้อป ชอบเที่ยว บัตรเครดิต KTC ก็พร้อมมอบทั้งดีลพิเศษ โปรโมชั่นสุดคุ้มและสิทธิประโยชน์มากมายที่เหมาะกับคุณ สนใจสมัครบัตรผ่านออนไลน์ได้ง่ายๆ ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรับสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณตลอดทั้งปี
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC