เมื่อพูดถึงการทำธุรกิจ การแข่งขันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเลือกใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามคู่แข่งและเติบโตได้อย่างมั่นคง หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจตลาดก็คือ กลยุทธ์ Red Ocean และ Blue Ocean ซึ่งทั้งสองแนวทางนี้มีบทบาทในการกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน
ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับความหมายของ Red Ocean และ Blue Ocean พร้อมทั้งเจาะลึกว่าตลาด Red Ocean มีลักษณะอย่างไร และ Blue Ocean มีอะไรบ้าง
Red Ocean VS Blue Ocean
Red Ocean และ Blue Ocean เป็นแนวคิดทางกลยุทธ์การตลาดที่นำเสนอโดย W. Chan Kim และ Renée Mauborgne ในหนังสือ Blue Ocean Strategy แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นถึงวิธีที่ธุรกิจสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกัน
Red Ocean คืออะไร ?
Red Ocean หรือ กลยุทธ์น่านน้ำสีแดง คือ ตลาดที่มีการแข่งขันสูง สินค้าและบริการในตลาดนี้มักมีความคล้ายคลึงกัน ธุรกิจจึงต้องแข่งกันเพื่อดึงลูกค้าจากคู่แข่งให้ได้มากที่สุด ซึ่งมักดึงดูดลูกค้าด้วยการทำโปรโมชั่น หรือการสร้างจุดขายให้โดดเด่นเหนือคู่แข่ง เราสามารถพบเห็นธุรกิจ Red Ocean ในไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตลาดนี้สามารถเข้าถึงผู้ซื้อได้ง่ายและจำนวนมาก ดังนั้น คำว่า Red Ocean จึงแสดงถึงการแข่งขันของธุรกิจ และความท้าทายของตลาดซึ่งมีผู้เล่นเป็นจำนวนมาก
Blue Ocean คือการทำการตลาดใหม่ ที่มาเหนือ ชิลๆ แบบไม่มีคู่แข่งหรือคู่แข่งน้อย
Blue Ocean คืออะไร ?
Blue Ocean หรือ กลยุทธ์น่านน้ำสีคราม คือ การสร้างตลาดใหม่ที่ยังไม่มีคู่แข่งหรือมีน้อยมาก ธุรกิจที่อยู่ในตลาดนี้มุ่งเน้นการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ หรือนวัตกรรมที่แตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่ เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบแปลกใหม่ มากกว่าการต่อสู้ด้วยราคา Blue Ocean จึงเปรียบเสมือนตลาดที่กว้างและสงบ มีคู่แข่งจำกัด ทำให้สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจและเติบโตได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้ก็ยังคงมีความท้าทายในเรื่องของการพัฒนาทางด้านนวัตกรรม และความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าที่มีอยู่อย่างจำกัดเช่นเดียวกัน
สรุปความแตกต่างระหว่าง Red Ocean และ Blue Ocean
- Red Ocean : แข่งขันในตลาดที่มีอยู่ พยายามเอาชนะคู่แข่งด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นความได้เปรียบเล็กๆ น้อยๆ เช่น การจัดโปรโมชั่นลดราคา
- Blue Ocean : สร้างตลาดใหม่ ไม่มีการแข่งขันที่ชัดเจน มุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรม หรืออะไรใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มใหม่
ธุรกิจของคุณอยู่ในตลาดแบบไหนและใช้กลยุทธ์อะไรบ้าง ?
สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นวางแผนการทำธุรกิจ การทำความเข้าใจตลาด และการวิเคราะห์กลยุทธและคู่แข่งถือเป็นสิ่งสำคัญในลำดับต้นๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของตลาด แนวโน้มการแข่งขัน และโอกาสทางธุรกิจในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หากธุรกิจของคุณอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง มีผู้เล่นมากมาย และต้องต่อสู้ด้วยกลยุทธ์ราคา อาจแสดงว่าคุณกำลังอยู่ใน Red Ocean ซึ่งหมายความว่าคุณต้องมองหาวิธีทำให้สินค้าหรือบริการของคุณมีความโดดเด่นเหนือคู่แข่ง หรือมี Functional Value มากที่สุด ในทางกลับกัน หากธุรกิจของคุณอยู่ในตลาด Blue Ocean ซึ่งตอบสนองต่อความต้องการที่ยังไม่มีใครเติมเต็ม นี่คือโอกาสทองในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือเปิดตลาดใหม่ที่ยังไม่มีใครเข้าถึง
ทำความรู้จักกับกลยุทธ์ Money-Can’t-Buy Experience
หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจที่สามารถนำไปปรับใช้สำหรับธุรกิจได้ ทั้ง Red Ocean และ Blue Oceam คือการมอบประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาซื้อได้ง่ายๆ หรือ ‘Money-Can’t-Buy Experience’ ให้กับลูกค้า เพื่อให้เกิด Emotional Value เช่น การรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์ หรือ ความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์พิเศษนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดความผูกพันกับแบรนด์ และทำให้เกิดการซื้อซ้ำ (Customer Retention) ได้มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น
- Membership Privilege พริวิเลจเฉพาะสมาชิก คือ การสร้างสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก เป็นวิธีการทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพิเศษ เช่น สิทธิ์เข้าถึงสินค้าใหม่ก่อนใคร สิทธิพิเศษในการเข้าร่วมกิจกรรม หรือการได้รับของขวัญสำหรับโอกาสพิเศษซึ่งสิ่งเหล่านี้มีส่วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำ
- Personalized Privilege คือการมอบสิทธิพิเศษแบบเฉพาะบุคคลเป็นการใช้ข้อมูลลูกค้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยทำความเข้าใจถึงความต้องการ และความชอบเฉพาะของแต่ละบุคคล เพื่อนำมาออกแบบสิทธิพิเศษให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ารายนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นการมอบส่วนลดในวันเกิด หรือเชิญเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะ โดยสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความประทับใจ และช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญกับแบรนด์
- Tiering Privilege Membership มอบพริเวเลจเหนือระดับด้วยการแบ่งระดับลูกค้า : การจัดระดับสมาชิกตามการใช้จ่ายหรือความถี่ในการใช้บริการ เป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยเสริมความพิเศษให้กับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างเหมาะสม ยิ่งลูกค้ามีระดับสมาชิกสูงขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับสิทธิพิเศษที่พิเศษขึ้นมากเท่านั้น เช่น การเข้าใช้ห้องรับรองพิเศษ (Lounge) บริการผู้ช่วยส่วนตัว หรือการเข้าร่วมงานสำคัญต่างๆ โดยกลยุทธ์นี้ไม่เพียงกระตุ้นให้เกิดการซื้อเพื่อไปถึงระดับที่สูงขึ้น แต่ยังเสริมสร้างความผูกพันและความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
ทั้งนี้การปรับใช้กลยุทธ์ที่กล่าวมาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถรักษาความได้เปรียบ สร้างความโดดเด่นในตลาด และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
มาถึงตรงนี้แล้ว ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะอยู่ในกลุ่ม Red Ocean หรือ Blue Ocean ก็ตาม การเตรียมพร้อมและปรับตัวตามสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความได้เปรียบในทุกสถานการณ์ สำหรับธุรกิจใดที่กำลังมองหาระบบบริหารจัดการ CRM และ Digital Loyalty Platform อยู่ MAAI BY KTC พร้อมตอบโจทย์อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น
- ระบบจัดการข้อมูลสมาชิก (Membership Management) เพื่อให้ธุรกิจรู้จักและเข้าใจลูกค้ามากขึ้น เรามีระบบเก็บข้อมูลสมาชิกที่สามารถแบ่ง Segment ได้ตามต้องการ พร้อมระบบหลังบ้านรองรับ ที่สามารถเข้าถึง และนำข้อมูลมาวางแผนการตลาดแบบ Personalize ต่อได้
- ระบบจัดการคะแนน (Point System Management) ที่สามารถกำหนดเงื่อนไข ทำโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าโดยมีคะแนนเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่สามารถสะสม แลกรับคูปองส่วนลด หรือ โอนคะแนนได้ง่ายๆ
- ระบบจัดการ e-Coupon (e-Coupon Management) ที่ธุรกิจคุณสามารถสร้างและกำหนดเงื่อนไข และมอบคูปองส่วนลดให้กับลูกค้าสมาชิก ได้ด้วยตนเองผ่านระบบหลังบ้าน พร้อม Generate ได้ทั้ง Barcode, QR Code และ Text Code ได้อย่างง่ายดาย
MAAI BY KTC คือระบบบริหารจัดการธุรกิจ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ให้คุณรู้จักและรู้ใจลูกค้ามากขึ้น เพื่อโอกาสเติบโตทางธุรกิจระยะยาว มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของคุณ เพื่อการประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นด้วย MAAI BY KTC สำหรับองค์กรใดที่สนใจบริการ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02 123 5678
ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ธุรกิจเติบโต MAAI BY KTC ผู้ช่วยของคุณ