หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเครดิตคือเพียงแค่บัตรเครดิตที่ใช้ซื้อของ แต่ความจริงแล้วเครดิตคือ ความน่าเชื่อถือทางการเงิน ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้เงินและการชำระหนี้ ซึ่งจะถูกบันทึกเป็นประวัติและให้คะแนน (Credit Score) โดยเครดิตบูโร เมื่อไหร่ที่ต้องการขอสินเชื่อ กู้บ้าน ซื้อรถ หรือใช้บริการทางการเงินต่าง ๆ ผู้ให้สินเชื่อจะนำประวัติเครดิตนี้มาใช้ประเมินความเสี่ยงในการพิจารณาอนุมัติ นี่คือเหตุผลที่ Gen Z ควรเริ่มสร้างเครดิตดีตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเปิดโอกาสทางการเงินในอนาคต เพราะจะทำให้อนาคตของคุณง่ายขึ้นมาก เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่หรือต้องการความช่วยเหลือทางการเงิน
เครดิตทางการเงินคืออะไร ใช้งานอย่างไร
เครดิตทางการเงิน คือ ความน่าเชื่อถือทางการเงินที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมทางการเงินที่ผ่านมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้เงิน การฝากเงิน การนำเงินไปลงทุน ไปจนถึงวินัยในการชำระหนี้สินที่ตรงต่อเวลา โดยเครดิตทางการเงินนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ธนาคารและสถาบันทางการเงินใช้พิจารณาอนุมัติธุรกรรมและบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากยิ่งผู้ใช้บริการมีเครดิตดีมากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือทางการเงินก็จะยิ่งสูงมากขึ้น ทำให้ช่วยเพิ่มโอกาสที่ธนาคารและสถาบันทางการเงินจะอนุมัติธุรกรรมและบริการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
เครดิตบูโรคืออะไร เกี่ยวข้องยังไงกับเครดิตทางการเงิน
เครดิตบูโร (Credit Bureau) คือองค์กรที่ทำหน้าที่เป็น "ธนาคารข้อมูลทางการเงิน" ที่รวบรวม จัดเก็บ และให้บริการข้อมูลเครดิตของบุคคลและนิติบุคคลทั่วประเทศ เปรียบเสมือนห้องสมุดยักษ์ที่เก็บประวัติการเงินของทุกคนไว้ เพื่อให้สถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถเข้ามาตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงได้
เครดิตบูโรเก็บข้อมูลอะไรบ้าง?
ข้อมูลพื้นฐาน
- ชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประชาชน
- ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
- ข้อมูลการทำงาน
ข้อมูลสินเชื่อ
- ประเภทของสินเชื่อที่ได้รับการอนุมัติ: เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, สินเชื่อรถยนต์, บัตรเครดิต, บัตรกดเงินสด รวมถึงสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ที่ได้รับอนุมัติจากสถาบันการเงิน
- ประวัติการชำระหนี้: แสดงรายละเอียดการชำระหนี้รายเดือน ไม่ว่าจะเป็นการชำระตรงเวลา การชำระล่าช้า หรือการค้างชำระ
- สถานะของบัญชีสินเชื่อ: ระบุสถานะของแต่ละบัญชี เช่น อยู่ในสถานะปกติ ปิดบัญชีแล้ว ค้างชำระเกิน 90 วัน หรืออยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย
ข้อมูลที่ไม่ได้ถูกจัดเก็บโดยเครดิตบูโร:
- หมายเลขโทรศัพท์
- ข้อมูลทางการเงินอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อหรือประวัติการชำระหนี้
ระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูล:
- ข้อมูลประวัติการชำระหนี้ จะถูกจัดเก็บย้อนหลังเป็นระยะเวลา 36 เดือน
- ข้อมูลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิน 90 วัน จะถูกจัดเก็บต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี และจะค่อย ๆ ถูกลบออกจากระบบภายในระยะเวลา 3 ปีหลังจากนั้น
ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้จะได้มาจากที่ธนาคารพาณิชย์, บริษัทเงินทุน, สถาบันการเงิน, บริษัทบัตรเครดิต, บริษัทสินเชื่อส่วนบุคคล, บริษัทลิสซิ่ง ส่งรายงานเข้ามาทุกเดือน
ทำไมต้องมีประวัติเครดิต?
1. ช่วยในการสมัครสินเชื่อ เพราะธนาคารมีข้อมูลประเมินความเสี่ยง เพิ่มโอกาสอนุมัติ และอาจได้อัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า
2. สร้างความน่าเชื่อถือ แสดงให้เห็นว่ามีความรับผิดชอบ สามารถชำระได้ตรงเวลา
3. เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสมัครบัตรเครดิตใหม่, ขอเพิ่มวงเงิน, กู้บ้าน หรือขอสินเชื่อ
วิธีสร้างเครดิตดีตั้งแต่เริ่มต้น
1. เปิดบัญชีธนาคารและใช้อย่างมีวินัย
บัญชีธนาคารเป็นรากฐานแรกของประวัติทางการเงิน แม้ว่าจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อคะแนนเครดิต แต่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและความรับผิดชอบทางการเงิน แนะนำให้ฝากเงินสม่ำเสมอ ให้บัญชีมีความเคลื่อนไหว เพื่อให้ธนาคารมีข้อมูลพฤติกรรมทางการเงินและง่ายต่อการสมัครผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในอนาคต
2. เริ่มใช้บัตรเครดิตแบบรูดน้อย-จ่ายเต็ม
ก่อนอื่นถ้าใครยังไม่มีบัตรเครดิต อาจจะต้องสมัครไว้เพื่อสร้างเครดิตที่ดี โดยการเลือกบัตรเครดิตใบแรก แนะนำให้เลือกบัตรที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ที่สุด มีสิทธิประโยชน์เยอะ เช่น บัตรเครดิต KTC ที่ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 25 บาทจะสามารถสะสมคะแนน KTC FOREVER ได้ 1 คะแนน มีโปรโมชั่นเยอะ ที่สำคัญคือไม่มีค่าธรรมเนียม
- หลักการ "รูดน้อย-จ่ายเต็ม"
รูดน้อย คือการใช้ไม่เกิน 30% ของวงเงิน เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณใช้เครดิตอย่างมีวินัย ไม่ขาดแคลนเงินสด หากทำได้สม่ำเสมอก็จะช่วยให้คะแนนเครดิตจะดีขึ้น ที่สำคัญคือจะต้องจ่ายเต็มในวันครบกำหนดชำระ ไม่เคยชำระแค่จำนวนขั้นต่ำ
3. จ่ายบิลตรงเวลา
การจ่ายบิลตรงเวลาเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการประเมินเครดิต แม้จะเป็นบิลจำนวนเล็ก ๆ แต่ก็มีผลต่อประวัติเครดิต ไม่ว่าจะเป็น ค่าโทรศัพท์มือถือ (รายเดือน/เติมเงิน), ค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน, การผ่อนชำระสินค้า (โทรศัพท์, แท็บเล็ต, เครื่องใช้ไฟฟ้า), ค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า, น้ำ, แก๊ส)
4. ใช้บริการผ่อน 0% อย่างมีการวางแผน
ผ่อน 0% คือการผ่อนชำระสินค้าโดยไม่มีดอกเบี้ย แบ่งยอดชำระเป็นงวด สูงสุด 3-10 เดือน ช่วยบริหารกระแสเงินสด แต่แนะนำว่าไม่ควรผ่อนสินค้ามากเกินไป ให้เน้นไปที่ของจำเป็นที่มีราคาสูง ประเมินดูแล้วไม่สามารถจ่ายเป็นก้อนได้ไม่งั้นจะกระทบเงินส่วนอื่นในชีวิตประจำวัน
ก่อนเลือกผ่อน 0% องคำนวณความสามารถในการจ่าย ให้เอา รายได้ต่อเดือน - ค่าใช้จ่ายจำเป็น = เงินที่ใช้ผ่อนได้ ระวังไม่ให้ยอดผ่อนรวมเกิน 30% ของรายได้
5. ตรวจเครดิตบูโรและเช็กสถานะเครดิตปีละครั้ง
อย่างที่บอกไปว่าเครดิตบูโรมีความสำคัญกับประวัติทางการเงินของตัวเรา ดังนั้นควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ติดตามการพัฒนาคะแนนเครดิต ป้องกันการใช้เอกลักษณ์โดยไม่ได้รับอนุญาต หากมีจุดไหนที่ทำให้เครดิตดูไม่ดี ก็ให้วางแผนการปรับปรุงเครดิต
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าไม่อยากเสียเครดิต
1. ชำระหนี้ล่าช้า
หลายคนอาจมองว่า ถ้าตั้งใจจะชำระอยู่แล้ว ชำระตอนไหนก็คงไม่ต่างกัน แต่จริง ๆ การชำระหนี้ต่าง ๆ มีกำหนดการชำระที่ชัดเจนว่าต้องจ่ายภายในวันไหน ซึ่งถ้าหากไม่จ่ายให้ตรงเวลา เกินกำหนดเพียงไม่กี่วันก็ถูกบันทึกในระบบเครดิตบูโร ทำให้เสียคะแนนเครดิตทันที และมีดอกเบี้ยปรับเพิ่ม ทำให้อาจจะต้องจ่ายเงินมากขึ้น
2. ใช้วงเงินเต็มตลอดเวลา
สำหรับคนที่ใช้บัตรเครดิต แม้ว่าธนาคารหรือสถาบันการเงินจะให้วงเงินสำหรับใช้จ่ายในแต่ละเดือน และจริงที่เจ้าของบัตรเครดิตจะใช้เท่าไหร่ก็ได้หากจ่ายไหว แต่การใช้วงเงินบัตรเครดิตจนเต็มหรือใกล้เต็มอยู่ตลอดแม้จะจ่ายตรงเวลา แต่ก็แสดงถึงภาระหนี้สูง คะแนนเครดิตลดลงและอาจถูกมองว่าเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระ
3. ไม่เคยชำระเต็มจำนวน
เมื่อถึงวันสรุปยอดบิล จะมียอดที่ต้องชำระขั้นต่ำในกรณีที่ยอดเดือนนั้นอาจจะสูงเกินจนทำให้จ่ายเต็มไม่ไหว แต่หลายคนเมื่อเห็นยอดขั้นต่ำน้อย ๆ ก็คิดว่าสามารถจ่ายในจำนวนเท่านี้ไปตลอดได้ แต่จริง ๆ การจ่ายแค่ขั้นต่ำทุกเดือน ดอกเบี้ยจะทบต้น และหนี้ไม่ลดลงจริงส่งผลให้ภาระหนี้พอกพูนและยังแสดงให้เห็นถึงการบริหารเงินไม่ดีอีกด้วย
4. ขอกู้หรือเปิดบัตรเครดิตหลายใบในเวลาใกล้กัน
การยื่นคำขอหลายสถาบันพร้อมกัน ระบบจะเห็นว่าการขอกู้รัวแปลว่ากำลังขัดสนหรือมีปัญหาเรื่องการเงินอยู่ ซึ่งการจะอนุมัติเงินหรือบัตรเครดืตให้กับคนที่มีปัญหาด้านการเงิน ก็มีความเสี่ยงสูงที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินนั้น ๆ จะไม่ได้เงินคืน ธนาคารหรือสถาบันการเงินหลาย ๆ แห่งจึงอาจไม่อนุมัติ และทำให้คะแนนเครดิตลด
5. เพิกเฉยต่อหนี้ก้อนเล็ก
หลายคนมีหนี้เล็ก ๆ เช่น หนี้มือถือ, หนี้ซื้อผ่อนของ, หนี้ไฟแนนซ์ที่มียอดไม่ได้สูงมาก ทำให้มองข้าม คิดว่าไม่ใช่ยอดใหญ่อะไร คงไม่ถูกเอาไปนับหรือทำให้เครดิตเสียได้ แต่ที่จริงไม่ว่าหนี้จะน้อยหรือไม่ แต่หากไม่จ่ายภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็อาจถูกส่งข้อมูลเข้าสู่เครดิตบูโรได้ ทำให้ เครดิตเสียจากหนี้จำนวนน้อย ทั้งที่จริงเงินจำนวนนี้คุณอาจมีความสามารถที่จะจ่ายได้ตรงเวลาแบบไม่กระทบเงินส่วนอื่น
6. ค้ำประกันโดยไม่คิดให้รอบคอบ
การค้ำประกัน คือการที่เซ็นรับรองว่าจะรับผิดชอบหนี้แทนผู้กู้ ถ้าเขาไม่สามารถชำระเงินได้ เช่น ค้ำให้เพื่อนซื้อรถ / ขอสินเชื่อ / กู้เงิน แม้คุณจะไม่ใช่คนยืม แต่ถ้าผู้กู้ผิดนัด คุณต้องจ่ายแทน และถูกบันทึกในเครดิตบูโรเหมือนเป็นหนี้ของคุณเอง ปัญหาเหล่านี้อาจจะทำให้เครดิตเสียโดยไม่รู้ตัว
7. ไม่ตรวจสอบเครดิตตัวเองเลย
อย่างที่กล่าวไปว่า เครดิตบูโรควรตรวจและเช็กสถานะเครดิตปีละครั้ง เพราะเราไม่รู้เลยว่าตัวเองมีหนี้ที่หลงลืมหรือไม่
หรือบางครั้งก็อาจมีชื่อไปค้ำประกันให้คนอื่น ซึ่งถ้าคุณไม่เข้าไปเช็กเลย ไม่รู้ว่าผู้กู้ชำระตรงเวลาหรือไม่ หากมีปัญหาเกิดขึ้นก็จะทำให้เครดิตของตัวเองมีปัญหาได้
ถ้ามีเครดิตไม่ดี แก้ไขได้ไหม?
ถ้าเครดิตไม่ดี สามารถแก้ไขได้ โดยสามารถทำได้ตามวิธีด้านล่างนี้
1. ปิดหนี้เก่าทั้งหมดให้เรียบร้อย
เพื่อแก้ไขเครดิตที่ไม่ดี ให้จ่ายยอดที่ค้างชำระให้ครบ และขอใบรับรองว่าหนี้ปิดแล้ว หากมีการประนอมหนี้ ควรยืนยันว่าหนี้ถือว่าชำระสมบูรณ์ แต่ทั้งนี้ ต่อให้ปิดหนี้เก่าไปแล้วเครดิตจะไม่ฟื้นทันทีหลังปิดหนี้ แต่สถานะจะเปลี่ยนเป็นปิดบัญชีและเริ่มนับเวลาฟื้นตัว
2. รอเวลาให้เครดิตฟื้นตัว
หลังจากที่ชำระหนี้ให้ครบหมดและปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลประวัติการชำระหนี้ จะถูกจัดเก็บย้อนหลังเป็นระยะเวลา 36 เดือน ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิน 90 วัน จะถูกจัดเก็บต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี และจะค่อย ๆ ถูกลบออกจากระบบภายในระยะเวลา 3 ปีหลังจากนั้น
3. อย่าค้างชำระใหม่เด็ดขาด
ในระหว่างที่เครดิตฟื้นตัว ให้หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม เพราะถ้ามีหนี้ค้างอีกครั้ง เครดิตบูโรจะเห็นทุกการค้างใหม่ทันที แม้จะค้างแค่ 1 วัน ก็มีการบันทึก ยิ่งค้างหลายรอบ ยิ่งสะสมว่าเป็นผู้เสี่ยงผิดนัดซ้ำ นอกจากนี้เครดิตยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว ช่วงหลังปิดหนี้เก่า 3 ปี คือ ช่วงเฝ้าระวัง ถ้าคุณค้างชำระซ้ำอีก จะ รีเซ็ตเวลาใหม่หมด (ต้องรออีก 3 ปีนับจากครั้งล่าสุด)
4. ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อหาทางออก
ในกรณีที่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายหนี้ทั้งหมดและปิดบัญชีได้ แนะนำว่าให้เจรจาผ่อนจ่าย, ขอประนอมหนี้, ขอปิดบัญชีแบบมีส่วนลด โดยขอเอกสารยืนยัน, ขอเขียนคำชี้แจงแนบในเครดิตบูโร หากมีเหตุจำเป็น เช่น ป่วย, ตกงาน ไม่ควรหายไปเงียบ ๆ
วิธีมีสร้างเครดิตที่ดีนั้นไม่ยาก บางอย่างก็สามารถสร้างได้ผ่านการใช้ชีวิตประจำวันอย่างพฤติกรรมใช้บัตรเครดิต โดยหากปฏิบัติตามเงื่อนไขของทางธนาคารครบถ้วน มีการชำระยอดบัตรเครดิตตรงเวลา และไม่นำบัตรเครดิตไปใช้ผิดจุดประสงค์ ก็จะทำให้มีเครดิตดีได้ เพิ่มความน่าเชื่อถือทางการเงินสูง ทำให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติธุรกรรมและบริการต่าง ๆ ของธนาคารและสถาบันทางการเงินที่มากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกับการเงินส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่ออการทำธุรกรรมเพื่อธุรกิจในอนาคตอีกด้วยรู้แบบนี้แล้ว อย่าลืมวางแผนทางการเงินให้รอบคอบเพื่อสร้างเครดิตทางการเงินที่ดีตั้งแต่วันนี้ และสำหรับใครยังไม่มีบัตรเครดิต ก็สามารถสมัครบัตรเครดิต KTC ผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ทุกที่ทุกเวลา พร้อมรับคะแนน KTC FOREVER จากทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต สะสมได้ไม่จำกัด และไม่มีวันหมดอายุ สามารถใช้คะแนนแลกรับส่วนลดหรือเครดิตเงินคืนได้ สมัครบัตรเครดิต KTC ไม่ยาก กดสมัครได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC