เมื่อพูดถึงการกู้เงิน การทำความเข้าใจดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการเอารัดเอาเปรียบและควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน การทำความเข้าใจอัตราดอกเบี้ยและวิธีคำนวณที่ถูกต้องของสินเชื่อประเภทต่าง ๆ จะช่วยให้คุณสามารถกู้เงินฉุกเฉิน กู้เงินรีโนเวทบ้าน กู้เงินซ่อมบ้าน หรืออื่น ๆ คุณจะสามารถจัดการการเงินของคุณได้อย่างมั่นคงและมั่นใจมากยิ่งขึ้น
เลือกอ่านตามหัวข้อ
อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย คืออะไร
ดอกเบี้ยตามกฎหมาย คือ อัตราดอกเบี้ยจากบุคคล หรือสินเชื่อถูกกฎหมายที่กำหนดโดยภาครัฐหรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดการเรียกเก็บดอกเบี้ยที่สูงเกินไปกับผู้บริโภค กฎหมายนี้ครอบคลุมทั้งการกู้ยืมระหว่างบุคคลและสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยมีจุดมุ่งหมายหลักในการปกป้องผู้บริโภคจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้กู้
การกำหนดดอกเบี้ยตามกฎหมายการกู้ยืมเงินช่วยให้ผู้กู้มีความมั่นใจในการกู้ยืมเงิน เนื่องจากมีเงื่อนไขที่ชัดเจนและเป็นธรรม การเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยจะช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหลีกเลี่ยงการถูกเอารัดเอาเปรียบได้ นอกจากนี้การปรับปรุงกฎหมายใหม่ ๆ ยังช่วยให้การกู้ยืมเป็นกระบวนการที่โปร่งใสและยุติธรรมมากขึ้น
อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายของสินเชื่อแต่ละแบบ
อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นถูกบังคับใช้ทั้งกับเงินกู้จากบุคคลทั่วไปและสินเชื่อถูกกฎหมาย ดังนี้
สินเชื่อส่วนบุคคล
กฎหมายสินเชื่อส่วนบุคคล ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ สนส. 12/2563 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ หรือค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ โดยการคิดดอกเบี้ยเงินกู้แบบลดต้นลดดอก (Effective rate) รวมกันต้องไม่เกิน 25% ต่อปี สำหรับสินเชื่อที่ไม่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน และไม่เกิน 24% ต่อปี สำหรับสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นหลักประกัน
บัตรเครดิต
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ สนส. 11/2563 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ หรือค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับบัตรเครดิต โดยเมื่อคำนวณรวมกันแล้วแบบลดต้นลดดอก (Effective rate) ต้องไม่เกิน 16% ต่อปี
สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (Nano Finance)
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่ สนส. 13/2563 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ หรือค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ โดยเมื่อคำนวณรวมกันแล้วแบบลดต้นลดดอก (Effective rate) ต้องไม่เกิน 33% ต่อปี
คำแนะนำ
การกู้ยืมเงินควรทำอย่างรับผิดชอบและพิจารณาความสามารถในการชำระคืนอย่างรอบคอบ การกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ถูกกฎหมายจะช่วยป้องกันปัญหาการเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้กู้นอกระบบได้ ไม่แนะนำให้กู้เงินนอกระบบ เนื่องจากอาจมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และอาจมีการใช้มาตรการที่ไม่เป็นธรรมในการทวงหนี้
การคำนวณดอกเบี้ยลดต้นลดดอกและดอกเบี้ยคงที่
การคำนวณดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการหนี้และวางแผนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีวิธีการคำนวณดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมายใหม่ 2568 หลักๆ 2 วิธี ได้แก่
- วิธีลดต้นลดดอก (Declining Balance Method)
- วิธีอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate Method)
การเข้าใจวิธีคิดดอกเบี้ยเงินกู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกสินเชื่อที่เหมาะสมและจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในหัวข้อนี้เราจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการคำนวณดอกเบี้ยถูกกฎหมายทั้ง 2 วิธีนี้ พร้อมตัวอย่างเพื่อให้คุณเข้าใจได้อย่างชัดเจน
1. วิธีลดต้นลดดอก (Declining Balance Method)
อัตราดอกเบี้ยลดต้นลดดอก คือวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่คิดจากเงินต้นคงเหลือในแต่ละงวด ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายลดลงเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากเงินต้นที่ชำระไปในแต่ละงวดจะทำให้เงินต้นคงเหลือลดลง ส่งผลให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดถัดไปลดลงตามไปด้วย
ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติว่าเรากู้เงินปิดหนี้ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 12% ต่อปี ผ่อนชำระ 12 เดือน
เดือนที่ 1 :
- ดอกเบี้ย = (100,000 บาท x 12% x 1/12) = 1,000 บาท
- เงินต้นชำระ = 8,333 บาท (สมมติว่าค่างวดรวมดอกเบี้ยและเงินต้นคือ 9,333 บาท)
- เงินต้นคงเหลือ = 100,000 - 8,333 = 91,667 บาท
เดือนที่ 2 :
- ดอกเบี้ย = (91,667 บาท x 12% x 1/12) = 916.67 บาท
- เงินต้นชำระ = 8,333 บาท (สมมติว่าค่างวดรวมดอกเบี้ยและเงินต้นคือ 9,250 บาท)
- เงินต้นคงเหลือ = 91,667 - 8,333 = 83,334 บาท
ดังนั้น ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในเดือนที่สองจึงลดลงเป็น 916.67 บาท เนื่องจากเงินต้นที่เหลือลดลง
2. วิธีอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate Method)
อัตราดอกเบี้ยคงที่ คือวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่คิดจากเงินต้นเต็มจำนวนตลอดอายุสัญญา ทำให้ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดเท่ากัน
ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติว่าเรากู้เงินมาซ่อมบ้าน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี ผ่อนชำระ 12 เดือน
- ดอกเบี้ยรวมทั้งหมด = 100,000 x 6% = 6,000 บาท
- ดอกเบี้ยต่อเดือน = 6,000 / 12 = 500 บาท (คงที่ทุกเดือน)
ดังนั้น ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือนจะเท่ากันคือ 500 บาท
อัตราการชำระหนี้ตามกฎหมาย
ในการจัดการหนี้สิน สิ่งสำคัญที่ผู้กู้ควรทราบคืออัตราการชำระหนี้ตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาระดอกเบี้ยตามกฎหมายที่เพิ่มขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำการปรับปรุงเกณฑ์การคิดดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมายใหม่ในประเทศไทยที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างความเป็นธรรมและลดภาระของลูกหนี้ และใครที่สงสัยว่าดอกเบี้ยผิดนัด คิดยังไงนั้น วิธีคิดมีหลักการสำคัญดังนี้
1. การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้บนฐานของ “เงินต้นที่ผิดนัดจริง” เท่านั้น : ไม่รวมส่วนของเงินต้นของค่างวดในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ซึ่งจะช่วยลดมูลค่าดอกเบี้ยผิดนัดและทำให้การคิดดอกเบี้ยสอดคล้องกับข้อเท็จจริงมากขึ้น
2. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ : อัตราดอกเบี้ยผิดนัดจะถูกกำหนดตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่อปีตามสัญญาบวกไม่เกิน 3% เช่น หากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาคือ 8% อัตราดอกเบี้ยผิดนัดจะไม่เกิน 11% ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยและเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้พยายามชำระหนี้
3. การกำหนดลำดับการตัดชำระหนี้ : ตัดค่างวดที่ค้างชำระนานที่สุดเป็นลำดับแรก เพื่อให้ลูกหนี้ทราบลำดับการตัดชำระหนี้ที่ชัดเจน และช่วยให้เงินงวดที่จ่ายเข้ามาสามารถตัดถึงเงินต้นได้มากขึ้นการปรับปรุงเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสมดุลในระบบการเงินและลดการเกิดหนี้ด้อยคุณภาพ
การทำความเข้าใจอัตราการชำระหนี้ตามกฎหมายและแนวปฏิบัติที่กำหนดโดย ธปท. จะช่วยให้ผู้กู้สามารถจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดหนี้เสีย
“ดอกเบี้ยตามกฎหมาย” ความเข้าใจที่สำคัญสำหรับการจัดการหนี้สิน
“ดอกเบี้ยตามกฎหมาย” เป็นข้อกำหนดที่ช่วยปกป้องผู้บริโภคจากการถูกเอารัดเอาเปรียบโดยผู้ให้กู้ และยังช่วยควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามกฎหมายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาในปี 2025 อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อแต่ละประเภท เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต และนาโนไฟแนนซ์ มีการกำหนดเพดานที่ชัดเจนเพื่อความเป็นธรรม นอกจากนี้ วิธีการคิดดอกเบี้ยทั้งแบบลดต้นลดดอกและอัตราคงที่ยังมีผลต่อยอดชำระคืนที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้กู้ควรศึกษาให้ละเอียดเพื่อวางแผนทางการเงินได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งกรณีผิดชำระหนี้ กฎหมายเงินกู้ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัด กฎหมายใหม่ประจำปีนี้ที่มีความชัดเจนเพื่อป้องกันการเรียกเก็บเกินจริง
หากคุณกำลังมองหาแหล่งเงินทุนที่ปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย บัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยด้านการเงินยามฉุกเฉิน สำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ถือเป็นบัตรกดเงินสดที่ตอบโจทย์ ด้วยวงเงินพร้อมใช้ ดอกเบี้ยบัตรกดเงินสดตามกฎหมายกำหนด และเงื่อนไขที่เป็นธรรม สมัครง่าย รู้ผลเร็ว ช่วยให้คุณจัดการการเงินได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์
ทุกการใช้จ่ายไม่มีสะดุด ด้วยบัตรกดเงินสด KTC PROUD
- สมัครง่าย เงินเดือน 12,000 บาท ก็สมัครได้
- อนุมัติไว เลือกรับเงินโอนเข้าบัญชีได้ทันที เมื่ออนุมัติ
- เบิกเงินได้ 24 ชั่วโมง ผ่านแอป KTC Mobile และ ATM ทั่วประเทศ
- ผ่อนสินค้า 0% นานสูงสุด 24 เดือน ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ
- รูดซื้อสินค้า และช้อปออนไลน์ พร้อมรับสิทธิพิเศษทั้งปี
บัตรกดเงินสด KTC PROUD ตัวช่วยทางการเงินยามฉุกเฉิน
*กู้เท่าที่จําเป็นและชําระคืนได้ตามกําหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 20%-25% ต่อปี