บอนด์ยีลด์ขึ้น ลง มีผลต่อกระทบตลาดหุ้นจริงหรือ
สำหรับวัยทำงานที่อยากสร้างความมั่นคงผ่านการลงทุนในตลาดหุ้น นอกจากศึกษาทิศทางหรือแนวโน้มของหุ้นที่สนใจว่าสามารถสร้างโอกาสทำกำไรได้มากน้อยเพียงใด จำต้องรู้จักคำศัพท์ที่มีผลต่อการลงทุน อย่างบอนด์ยีลด์ คืออะไร เพื่อไขข้อสงสัยดังกล่าว วันนี้เราขอพาทุกคนไปหาคำตอบกันว่า Bond Yield คือ และช่วงที่บอนด์ยีลด์เคลื่อนไหวสูงหรือต่ำมากเกินไปก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียกับนักลงทุน
เลือกอ่านตามหัวข้อ
Bond Yield คืออะไร ทำไมต้องรู้จักก่อนลงทุน
Bond Yield คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร หรืออธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือผลตอบแทนที่นักลงทุนผู้ถือครองพันธบัตร จะได้รับกลับคืนมาในรูปแบบดอกเบี้ยจากการถือพันธบัตรดังกล่าว แต่ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของ Bond Yield จะมีการเคลื่อนไหวที่สวนทางกับราคาพันธบัตรเสมอ นั่นเท่ากับว่าถ้า Bond Yield ปรับตัวลดลง ราคาพันธบัตรจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเปรียบเสมือนกับดอกเบี้ยที่ได้รับ ส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
เพื่อให้นักลงทุนรายใหม่ที่สนใจถือครองพันธบัตรทั้งของรัฐบาลและเอกชน เห็นภาพได้ชัดขึ้นว่า Bond Yield มีมูลค่าของผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองพันธบัตรเท่าไร คุ้มค่าต่อการลงทุนจริงหรือไม่
ตัวอย่าง
พันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี มีอัตราดอกเบี้ย 1.5% และมีมูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วย (Par Value) 1,000 บาท กรณีถือครองครอบตามกำหนด 10 ปี จะได้รับดอกเบี้ยปีละ 1.5% คิดเป็นปีละ 15 บาท ถ้ารวมดอกเบี้ยตลอด 10 ปี รวมเป็น 150 บาท
โดยอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับปีละ 1.5% ก็คือ Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองพันธบัตรนั่นเอง
ทั้งนี้ถ้าระหว่างนั้นมีความต้องการถือครองพันธบัตรสูง เป็นผลให้ราคาพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้นจากราคาที่ตราไว้ แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจะลดลงสวนทางกัน เช่น ราคาพันธบัตรสูงขึ้นจาก 1,000 บาท เป็น 2,000 บาท พันธบัตรให้ดอกเบี้ยปีละ 15 บาทเท่าเดิม ดังนั้น Yield ก็จะลดลงจาก 1.5% เหลือ 1%
ดังนั้นหากพันธบัตรที่ถือครองกันอยู่นั้น มีความน่าดึงดูดลดลง ทำให้นักลงทุนทยอยเทขายพันธบัตร ส่งผลให้ Bond Yield จะกลับมาเพิ่มสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ก่อนลงทุนพันธบัตรนักลงทุนหลายคนจึงต้องวิเคราะห์และประเมินผลตอบแทนที่คาดหวังรวมถึงความเสี่ยงที่ต้องรับ จึงไม่แปลกที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับ Bond Yield เป็นอย่างมาก
พันธบัตร คืออะไร มีกี่แบบ
ตามที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่า Bond Yield เป็นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า พันธบัตร คือ ? คำตอบคือ เป็นตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ซื้อหรือนักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ซึ่งจะได้รับการชำระหนี้และผลประโยชน์อื่นๆ ตอบแทนจากการถือครองพันธบัตร เช่น ดอกเบี้ยจากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่ออกพันธบัตรนั้นๆ โดยรูปแบบพันธบัตรที่คุ้นเคยกันมี 2 แบบ ได้แก่
- พันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลเพื่อระดมทุนไปใช้ในการบริหารประเทศ หรือลดการขาดดุลทางการเงิน
- พันธบัตรออมทรัพย์ คือ การซื้อพันธบัตรเพื่อออมทรัพย์ โดยเปิดขายให้กับบุคคลทั่วไปและองค์กรไม่แสวงหากำไรในสังกัดของรัฐบาล
บริหารค่าใช่จ่ายต่าง ๆ ต้องบัตรเครดิต KTC
Bond Yield มีความสำคัญอย่างไรกับตลาดหุ้น
Bond Yield ผลตอบแทนที่ใช้กำหนดทิศทางการลงทุน
เมื่อ Bond Yield หรืออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ดี แต่กลับส่งผลเสียกับผลกำไรของบริษัทต่าง ๆ ในตลาดหุ้น เพราะต้นทุนในการกู้ยืมเพื่อทำธุรกิจจะสูงขึ้น เป็นผลให้นักลงทุนหันไปซื้อพันธบัตรที่มีความเสี่ยงต่ำและได้ดอกเบี้ยที่แน่นอน แทนการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูง ฉะนั้นถ้าช่วงไหนที่ Bond Yield พุ่งขึ้นสูงอาจจะเห็นภาพนักลงทุนเทขายหุ้นแล้วถือครองพันธบัตรแทน
ขณะเดียวกันอาจมีนักลงทุนบางส่วนมองสวนทาง นั่นคือ Bond Yield ขึ้น หุ้นได้ประโยชน์ เพราะนักลงทุนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าการยอมเสี่ยงเพื่อไปซื้อหุ้นที่ค่าบอนด์ยีลด์เพิ่มขึ้นอาจได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว ทั้งในแง่ของราคาหุ้นและเงินปันผล จึงเลือกถือครองหุ้นมากกว่าพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนต่ำ จนทำให้ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นตามไปด้วย
Bond Yield มีผลต่อการปรับอัตราดอกเบี้ย FED ไหม
หลายคนอาจไม่รู้ว่าบอนด์ยีลด์กับการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Federal Reserve (FED) ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ มากทีเดียว เพราะ FED เป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราผลตอบแทนของ Bond Yield มีการเปลี่ยนแปลงอ้างอิงกับดอกเบี้ยนโยบายโดยตรง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ลองมาดูกันว่าการปรับขึ้นและลงของค่า Bond Yield ส่งผลกับสินทรัพย์ในตลาดหุ้นอย่างไร
การเปลี่ยนแปลงของ Bond Yield กับผลกระทบต่อทรัพย์สิน
เห็นได้ว่า Bond Yield เป็นตัววัดผลกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนในพันธบัตร และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจว่าจะเลือกลงทุนในหุ้น อสังหา ทองคำที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง หรือเลือกลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้หรือพันธบัตรที่เสี่ยงน้อยกว่า ที่สำคัญบอนด์ยีลด์ยังเป็นตัวชี้วัดสถานการณ์ทางเศรษฐกิจว่ามีความแข็งแกร่งเพียงใดอีกด้วย
การปรับขึ้น Bond Yield ทำให้การลงทุนบางอย่างได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น
จากข้อมูลข้างต้นเห็นได้ว่า การปรับตัวขึ้นลงของ Bond Yield มีความสำคัญต่อต่อการลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและพันธบัตร และเพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ Bond Yield ที่มีการปรับตัว นักลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่าการปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่ถือครองในตลาดหุ้นมากน้อยเพียงใด และมีผลต่อพันธบัตรหรือตราสารหนี้หรือไม่ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและได้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากที่สุด
สำหรับนักลงทุนที่มีบัตรเครดิตอยู่ในครอบครอง แล้วอยากใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรฯ อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น สามารถเปลี่ยนทุกคะแนนจากการใช้จ่ายเป็นกองทุนรวมกับหลากหลายพาร์ทเนอร์ที่ร่วมโครงการ หรือใช้ยอดลงทุนผ่านบัตรเครดิต อย่างกองทุน KTAM RMF และ SSF ที่เปิดให้ผู้ถือบัตรเครดิต KTC รับเงินคืน 100 บาท เข้ากองทุน KTSTPLUS รับเงินคืน 100 บาท เมื่อมียอดลงทุนสุทธิทุก ๆ 50,000 บาท (สำหรับการชำระทุกช่องทาง) และสามารถชำระผ่านบัตรเครดิต KTC ได้ หรือใช้คะแนน KTC FOREVER ทุก 1,000 คะแนน แทนเงินลงทุน 100 บาท (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่) เห็นข้อดีของการมีบัตรเครดิต KTC ติดกระเป๋าแบบนี้ ใครที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตมนุษย์เงินเดือนแล้วต้องการสมัครบัตรเครดิต อย่าลืมเก็บผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ KTC ไว้พิจารณา นอกจากมีหน้าบัตรฯ ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ยังอัดแน่นไปด้วยสิทธิประโยชน์จากร้านค้าพาร์ทเนอร์ชั้นนำ
บัตรเครดิต KTC ช่วยให้คุณมีเวลาบริหารเงินมากขึ้น
ไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี