ในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายและการแข่งขัน ทักษะการทำงานเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของธุรกิจ การเคลียร์งานให้เสร็จอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทั้งยังมีเวลาเหลือสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งวิธีเคลียร์งานค้างไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะถ้ามีงานอยู่ล้นมือแล้วต้องทำให้เสร็จก่อนวันหยุดหรือวันลาพักร้อนจะมาถึง ในบทความนี้จะมาแบ่งปัน 10 เทคนิคที่จะช่วยให้คุณปรับปรุงวิธีการทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ดีขึ้น!
เลือกอ่านตามหัวข้อ
- 1. จัดทำรายการงานที่ต้องทำในแต่ละวัน
- 2. กำหนดลำดับความสำคัญ
- 3. บริหารเวลาอย่างชาญฉลาด
- 4. หลีกเลี่ยงการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
- 5. ใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการจัดการงาน
- 6. จัดที่ทำงานหรือโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ
- 7. ลงมือเคลียร์งานที่ยากที่สุดให้เสร็จ
- 8. จัดการงานที่คล้ายกันให้เป็นกลุ่ม ๆ
- 9. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานหรือภารกิจที่ไม่จำเป็น
- 10. เลือกทำงานในช่วงเวลาที่มีพลังสูงสุด
- สรุป วิธีเคลียร์งานที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อการทำงานที่สมบูรณ์แบบ!
1. จัดทำรายการงานที่ต้องทำในแต่ละวัน
การจัดทำรายการงานที่ต้องทำในแต่ละวันช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของงานที่รออยู่ได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถวางแผนเคลียร์งานและจัดลำดับความสำคัญได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การมีรายการงานให้เห็นยังช่วยลดความเครียดได้ เพราะคุณไม่ต้องกังวลว่าจะลืมงานสำคัญ หรือกลัวว่าจะมีงานที่ไม่ได้ทำหรือไม่
โดยวิธีจัดทำรายการงานคือ ให้เขียนงานทั้งหมดที่ต้องทำลงในกระดาษหรือแอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับจดบันทึก เมื่อเริ่มทำงาน ให้เลือกงานที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดก่อน และขีดฆ่างานที่ทำเสร็จแล้วออกจากรายการ ซึ่งการขีดฆ่างานที่เสร็จแล้วนั้นจะช่วยสร้างแรงจูงใจและผลักดันให้ทำงานต่อไป
2. กำหนดลำดับความสำคัญ
ถ้าคุณกำลังจะหยุดงานหรือมีแพลนแน่นอนแล้วว่าจะไปเที่ยวทะเลที่ไหนดีหรือใช้วันลาเมื่อไหร่ แต่ยังมีงานที่ต้องสะสาง การกำหนดลำดับความสำคัญของงานที่มีอยู่ถือเป็นสิ่งที่จำเป็น โดยวิธีที่ได้รับความนิยมคือ Eisenhower Matrix ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยจัดลำดับงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน โดยจัดแบ่งงานออกเป็น 4 ประเภทคือ1. งานสำคัญและเร่งด่วน
2. งานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน
3. งานไม่สำคัญแต่เร่งด่วน
4. ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
เมื่อจัดลำดับตาม Eisenhower Matrix แล้ว ให้เริ่มเคลียร์งานประเภทที่หนึ่งซึ่งเป็นงานที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดก่อน จากนั้นจึงวางแผนและกำหนดเวลาสำหรับงานประเภทที่สอง ส่วนงานประเภทที่สามอาจพิจารณามอบหมายหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น และงานในประเภทที่สี่อาจตัดสินใจตัดเลื่อนออกไปก่อนได้
3. บริหารเวลาอย่างชาญฉลาด
เมื่อมีงานค้างเยอะ การจัดแบ่งเวลาเป็นอีกหนึ่งวิธีทำงานให้เสร็จ โดยเทคนิคที่หลายคนใช้คือ Pomodoro ซึ่งเป็นการแบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงช่วงละ 25 นาที และพักเบรกสั้น ๆ 5 นาที หรือทุก 2 ชั่วโมงจะพักยาวประมาณ 15-20 นาที วิธีนี้จะช่วยให้มีสมาธิกับงาน และได้พักผ่อนเติมพลังในช่วงเวลาที่ไม่ห่างกันนานจนเกินไป
ระหว่างพัก คุณสามารถเปลี่ยนอิริยาบถ พักสายตา หรือใช้วิธีดูแลตัวเองง่าย ๆ ที่ทำได้ในเวลาไม่กี่นาที แล้วเมื่อทำไปเรื่อย ๆ จนได้พักยาวขึ้นก็จะมีเวลาให้สมองได้รีเซ็ตและพร้อมสำหรับการทำงานต่อไป ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มสมาธิแล้ว ยังช่วยลดความเครียดจากการทำงานหนักต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ด้วย
4. หลีกเลี่ยงการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
หลายคนอาจคิดว่าการทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันจะช่วยให้เคลียร์งานเสร็จเร็วขึ้น แต่ความจริงแล้ว การทำงานแบบนี้อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงและเกิดความผิดพลาดได้ง่าย เพราะเมื่อคุณพยายามทำหลายอย่าง สมองต้องสลับไปมาระหว่างงาน ทำให้อาจเสียสมาธิและใช้เวลานานขึ้นในการทำงานแต่ละอย่างให้เสร็จ ดังนั้น วิธีที่ดีคือทำทีละอย่าง ซึ่งจะช่วยให้คุณมีสมาธิจดจ่อและลดการหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่น ส่งผลให้ทำงานได้เร็วและมีคุณภาพขึ้น
5. ใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการจัดการงาน
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันมากมายที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การจัดการงานเป็นเรื่องง่าย เช่น Trello หรือ Asana ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างรายการงาน, จัดลำดับความสำคัญ, กำหนดเวลา และติดตามความคืบหน้าได้จนกระทั่งทำงานเสร็จ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ทีมงานสามารถทำงานร่วมกันและสื่อสารกันได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น แอป Trello เหมาะสำหรับการจัดการงานในรูปแบบแดชบอร์ด แบ่งงานออกเป็นคอลัมน์ตามสถานะ ส่วนแอป Asana เหมาะสำหรับการจัดการงานที่มีรายละเอียดและขั้นตอนซับซ้อน สามารถสร้างโปรเจ็กต์ และมอบหมายงานให้สมาชิกในทีมได้
6. จัดที่ทำงานหรือโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ
สภาพแวดล้อมที่เป็นระเบียบจะช่วยให้จดจ่อกับงานได้ดีขึ้น และลดสิ่งรบกวนที่อาจดึงความสนใจไปจากงานที่กำลังทำ นอกจากนี้ การจัดวางอุปกรณ์และเอกสารที่จำเป็นให้เป็นระเบียบและหยิบใช้ได้ง่าย ยังช่วยลดเวลาที่เสียไปกับการค้นหาสิ่งของ ทำให้เคลียร์งานได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็วมากขึ้น
โดยวิธีจัดโต๊ะทำงานหรือที่ทำงานให้เริ่มจากการกำจัดสิ่งของที่ไม่จำเป็นออก จากนั้นจัดวางอุปกรณ์และเอกสารที่ใช้บ่อยให้เป็นหมวดหมู่ สิ่งที่ไม่ได้ใช้บ่อยมากให้เก็บในที่ที่เหมาะสมและไม่กีดขวางการทำงาน รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบอย่างสม่ำเสมอ
7. ลงมือเคลียร์งานที่ยากที่สุดให้เสร็จ
แน่นอนว่าแต่ละงานอาจมีความยากง่ายไม่เท่ากัน ซึ่งสำหรับใครหลายคน Pain Point คือสิ่งที่จัดการได้ยากที่สุด โดยเมื่อเริ่มต้นวัน แนะนำให้ทำงานชิ้นที่ท้าทายหรือยากที่สุดก่อน เพราะจะทำให้คุณมีพลังและความกระตือรือร้น แล้วจะสามารถจัดการกับงานที่เหลืออยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โดยเมื่อทำงานที่ยากที่สุดไปได้แล้ว งานที่เหลือก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และช่วยให้รู้สึกมีกำลังใจและมีแรงผลักดันที่จะทำงานต่อไปให้เสร็จ ลดความเครียดและความวิตกกังวลที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่องานยากเสร็จไปแล้ว คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและภูมิใจในตัวเอง
8. จัดงานที่คล้ายกันให้เป็นกลุ่ม ๆ
การจัดงานเป็นกลุ่มคือการรวบรวมงานที่มีลักษณะหรือใช้ทักษะคล้ายกันไว้ในกลุ่มเดียวกัน แล้วเคลียร์งานนี้ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น งานที่เกี่ยวกับการเขียน ทั้งอีเมล รายงาน หรือเอกสารต่าง ๆ สามารถจัดไว้ในกลุ่มงานเขียน แล้วทำติดต่อกันไปเลย โดยเมื่อสมองของเราได้ทำงานแบบเดียวกันซ้ำก็จะเริ่มคุ้นเคยกับรูปแบบการคิด ส่งผลให้ทำได้อย่างลื่นไหล ที่สำคัญ การแบ่งกลุ่มงานยังช่วยลดความกังวลเมื่อเห็นรายการงานย่อย ๆ ที่ยาวเหยียด ทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เพราะเมื่อแบ่งเป็นกลุ่มแล้วก็จะเห็นภาพรวมและจัดการได้ง่ายขึ้นด้วย
9. เรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานหรือภารกิจที่ไม่จำเป็น
ในสังคมการทำงานที่วุ่นวาย คุณอาจถูกดึงให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานหรือภารกิจซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ที่รับผิดชอบ การปฏิเสธจะช่วยให้คุณสามารถรักษาโฟกัสและทุ่มเทกับงานสำคัญได้ โดยแนะนำให้เริ่มจากการประเมินความสำคัญ เทียบกับเป้าหมายที่ต้องการทำให้สำเร็จ
รวมถึงถ้าเลือกจะปฏิเสธ ควรสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและให้เหตุผลที่ชัดเจน เพราะจะช่วยให้อีกฝ่ายเข้าใจมุมมองของเราได้ดีขึ้น นอกจากนี้อาจเสนอทางเลือกหรือแนะนำวิธีอื่น ๆ ไปด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะให้ความช่วยเหลือ แม้จะไม่สามารถรับงานนั้นได้
10. เลือกทำงานในช่วงเวลาที่มีพลังสูงสุด
ในแต่ละวันแต่ละคนอาจมีสมาธิและมีพลังในการเคลียร์งานต่างกัน บางคนอาจกระตือรือร้นตอนเช้า ขณะที่บางคนอาจทำงานได้ดีตอนกลางคืน ซึ่งการรู้จักช่วงเวลาเหล่านี้ของตัวเองจะช่วยให้คุณใช้ศักยภาพได้อย่างเต็มที่ โดยวิธีค้นหาช่วงเวลาที่เหมาะสมอาจเริ่มจากการสังเกต ดูว่าเวลาไหนรู้สึกตื่นตัว มีไอเดีย ทำงานได้ลื่นไหล และเวลาไหนเหนื่อยล้า ไม่มีสมาธิ
เมื่อรู้ช่วงเวลาของตัวเองแล้ว ให้วางแผนทำงานสำคัญให้ตรงกับช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังงานและความมุ่งมั่นที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรียกได้ว่าไม่ว่า KPI คืออะไร คุณก็จะสามารถทำงานที่รับผิดชอบและบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน
สรุป วิธีเคลียร์งานที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อการทำงานที่สมบูรณ์แบบ!
การเคลียร์งานให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นมีหลากหลายวิธี โดยสิ่งสำคัญคือควรเลือกใช้เทคนิคที่เหมาะสมกับรูปแบบการทำงานและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพื่อให้สามารถปรับใช้ได้อย่างลงตัวและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในช่วงแรกอาจเลือกทดลองและปรับวิธีการไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ค้นพบสูตรสำเร็จในการเคลียร์งานที่เหมาะสมและนำไปสู่ผลลัพธ์งานที่สมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทำงานที่มัวแต่ทำงานยุ่งจนประสบปัญหาด้านการเงิน หมุนเงินไม่ทันใช้ หรือเจอกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินโดยไม่ทันตั้งตัว บัตรกดเงินสด KTC PROUD เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่น เพียงคุณมีรายได้ 12,000 บาทต่อเดือนก็สมัครได้โดยไม่ต้องมีคนค้ำประกัน ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสด อีกทั้งยังมีตัวเลือกในการชำระเงินที่ยืดหยุ่น ทั้งแบบเต็มจำนวนหรือขั้นต่ำ 3% แต่ไม่ต่ำกว่า 300 บาท จึงเป็นตัวช่วยที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแบ่งเบาภาระทางการเงินในยามจำเป็นอย่างแท้จริง
*กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว อัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี
เคลียร์งานหนัก หมุนเงินไม่ทัน นึกถึงบัตรกดเงินสด KTC PROUD