Scrum คือหนึ่งในรูปแบบการทำงานที่ได้รับความนิยมมากในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์และโครงการต่าง ๆ ด้วยแนวคิดที่มุ่งเน้นความยืดหยุ่น การทำงานเป็นทีม และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Scrum คืออะไรอย่างละเอียด พร้อมแนะนำเทคนิคที่ช่วยให้การใช้ Scrum มีประสิทธิภาพสูงสุด
Scrum คืออะไร ?
Scrum คือกรอบการทำงาน (Framework) ที่มุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม เพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน และส่งมอบผลลัพธ์ของงานที่มีคุณค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Scrum เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานในแบบ Agile ที่เน้นความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน แต่ Scrum จะแตกต่างจาก Agile ตรงที่มีขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจนเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน และเพื่อให้การทำงานร่วมกันในทีมมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยที่มาของชื่อ Scrum นั้นได้รับแรงบันดาลใจจากกีฬารักบี้ ซึ่งมีท่าทางที่ผู้เล่นรวมตัวกันเพื่อแย่งและส่งต่อบอลให้กับเพื่อนร่วมทีมตัวเอง เปรียบเสมือนการทำงานร่วมกันในทีม ซึ่งกรอบการทำงานแบบ
Scrum ถูกพัฒนาขึ้นโดย Jeff Sutherland และ Ken Schwaber ประมาณปี ค.ศ. 1990 โดยเริ่มต้นจากการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมพัฒนาซอฟต์แวร์ ก่อนจะถูกขยายไปใช้ในธุรกิจด้านอื่นๆ
เราทำ Scrum ไปเพื่ออะไร ?
การทำ Scrum มีจุดมุ่งหมายหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันในทีม โดยเน้นการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและการพัฒนาทักษะการทำงานที่ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถส่งมอบงานหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
- เพื่อการปรับตัวได้อย่างเร็ว : หลักการของ Scrum จะมีการกำหนด Sprint หรือการกำหนดช่วงเวลาทำงานสั้นๆ ซึ่งช่วยให้ทีมสามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงแผนงานได้ตามความท้าทายที่เกิดขึ้น
- เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน : Scrum มีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างสมาชิกในทีม ไม่ว่าจะผ่านการประชุม Daily Scrum, Sprint Review หรือ Sprint Retrospective ซึ่งทำให้ทีมมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกันได้
- เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน : ด้วยการแบ่งงานออกเป็น Sprint และการจัดลำดับความสำคัญใหม่ๆ ในทุก Sprint จะทำให้ทีมสามารถปรับเปลี่ยนแผนการทำงานได้ทันทีเมื่อมีความต้องการใหม่ หรือเมื่อมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
- เพื่อพัฒนาทักษะ Growth Mindset ของทีม : Scrum มีส่วนช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วยสร้างทัศนคติที่ยืดหยุ่นในการเผชิญหน้ากับปัญหา
- เพื่อกำหนดทิศทางและความสามารถของผลิตภัณฑ์ : Scrum มีส่วนช่วยให้ทีมมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสามารถมองเห็นภาพรวมได้อย่างแม่นยำ
- เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ : ด้วยการทำงานที่มีลำดับความสำคัญอย่างชัดเจน จะทำให้ทีมสามารถสร้างคุณค่าให้กับผลิตภัณฑ์ในแต่ละ Sprint ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง : ด้วยการทบทวนและรีวิวในทุกๆ Sprint จะทำให้ทีมสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นในแต่ละขั้นตอน โดยไม่ต้องรอจนกระทั่งโปรเจกต์เสร็จสิ้น
- เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า : Scrum ช่วยให้สามารถส่งมอบผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ โดย Product Owner จะคอยติดตามความต้องการและปัญหาของลูกค้าอย่างใกล้ชิดตลอดการทำงาน
Scrum มีข้อดี - ข้อเสียอะไรบ้าง ?
ข้อดีของ Scrum
- ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการทำงาน : ทุกคนในทีมสามารถเห็นภาพรวมของงานที่ต้องทำ และสามารถติดตามความคืบหน้าของงานได้อย่างชัดเจน การมี ลิสต์ของจำนวนงานทั้งหมดที่ต้องใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Backlog) ที่อัปเดตอยู่เสมอ จะช่วยให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ
- สามารถปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญได้ตามสถานการณ์ : Scrum มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับลำดับความสำคัญของงานในแต่ละ Sprint ได้ตามความต้องการของลูกค้าและความเร่งด่วน ซึ่งทำให้การส่งมอบผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้าได้ทันเวลา ช่วยให้ทีมสามารถตอบสนองต่อข้อกำหนดใหม่ หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
- ส่งเสริมการสื่อสารที่ดีในทีม : ด้วยการจัดประชุม Daily Scrum หรือการประชุมประจำวันสั้นๆ จะทำให้ทีมมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอยู่เสมอ ทำให้ทุกคนในทีมมีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับสถานะของงาน และปัญหาของงานที่กำลังทำอยู่
- ช่วยลดความเสี่ยงในความผิดพลาดของงาน : Scrum ทำให้ทีมสามารถตรวจเจอปัญหาต่างๆ ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ผ่านการทบทวนในแต่ละ Sprint และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
- ช่วยเพิ่มการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ : การที่ทีม Scrum มีการประชุมและทบทวนผลลัพธ์ในทุกๆ Sprint จะทำให้การตัดสินใจในเรื่องต่างๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากทีมสามารถทบทวนข้อเสนอแนะและข้อมูลที่ได้รับจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
- ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า : การทำงานใน Scrum จะเน้นการส่งมอบงานที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละ Sprint ทำให้ลูกค้าได้รับผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เร็วขึ้น
- สามารถปรับใช้งานในหลายสาขา : แม้ Scrum จะเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ แต่ปัจจุบันสามารถปรับใช้ในหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งในงานบริการต่างๆ ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ในหลากหลายองค์กร
ข้อเสียของ Scrum
- การปรับใช้ไม่ง่ายในบางองค์กร : การทำ Scrum ต้องการความสม่ำเสมอในการทำงานและการปฏิบัติตามขั้นตอน ซึ่งบางองค์กรที่ไม่คุ้นเคยกับกระบวนการนี้ อาจพบว่าในช่วงแรกมีความยากลำบากในการนำไปใช้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องท้าทาย เพราะต้องใช้เวลาและการฝึกอบรม เพื่อให้ทีมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีข้อจำกัดในบางกรณี : หากทีมไม่สามารถจัดการกับ Sprint หรือ Backlog ได้อย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ หรือการทำงานในบาง Sprint อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
- อาจเกิดการล่าช้าในงานบางประเภท : ถ้าไม่สามารถจัดลำดับงานที่สำคัญได้ดี หรือไม่มีการประสานงานที่ดีระหว่างทีม รูปแบบการทำงาน Scrum อาจทำให้บางงานเกิดความล่าช้าได้
- ไม่เหมาะกับทุกประเภทของงาน : Scrum อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความชัดเจนและแผนงานที่แน่นอนในระยะยาว เช่น งานที่มีความซับซ้อนสูงหรือไม่สามารถแบ่งออกเป็นงานเล็กๆ ได้
ตารางเปรียบเทียบ Scrum กับ Agile ต่างกันอย่างไร ?
หัวข้อ |
Scrum |
Agile |
คำจำกัดความ |
เป็นหนึ่งในกรอบการทำงานที่อยู่ภายใต้ Agile ซึ่งเน้นการพัฒนาเป็น Sprint หรือรอบสั้นๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว |
เป็นกรอบการทำงานที่ยืดหยุ่นและตอบสนองได้รวดเร็ว โดยใช้หลักการที่มุ่งเน้นการทำงานร่วมกัน การปรับตัว การส่งมอบคุณค่าอย่างสม่ำเสมอและการทำงานร่วมกับลูกค้า |
โครงสร้างและกระบวนการ |
มีโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
ไม่มีการกำหนดโครงสร้างหรือกระบวนการที่ชัดเจน สามารถเลือกใช้เครื่องมือหรือกรอบการทำงานที่เหมาะสมกับทีมงานและโปรเจกต์ |
บทบาท |
มีบทบาทในการทำงาน เช่น Product Owner, Scrum Master, Development Team ซึ่งแต่ละบทบาทมีหน้าที่ที่ชัดเจนในการดำเนินงาน |
ไม่มีบทบาทที่เฉพาะเจาะจงสำหรับทุกกรอบการทำงาน แต่ทีมงานจะทำงานร่วมกันเพื่อให้โปรเจกต์ประสบผลสำเร็จ |
การส่งมอบ |
การส่งมอบจะเป็นไปตาม Sprint ที่กำหนดไว้ ซึ่งจะมีการส่งมอบงานในแต่ละรอบที่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ |
ส่งมอบงานได้อย่างยืดหยุ่นโดยไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบการส่งมอบที่แน่นอน |
การปรับตัว |
เน้นการปรับตัวในระหว่างแต่ละ Sprint เพื่อให้ทีมสามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง |
การปรับตัวเป็นหลักการสำคัญ โดยมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ |
ในทีม Scrum ประกอบไปด้วยตำแหน่งอะไรบ้าง ?
1. Product Owner (ผู้จัดการและผู้กำหนดทิศทางของผลิตภัณฑ์)
- หน้าที่หลัก : รับผิดชอบในการกำหนดลำดับความสำคัญของงานและสิ่งที่ต้องทำในแต่ละ Sprint โดยจะต้องทำงานใกล้ชิดกับทีมเพื่อให้แน่ใจว่างานที่สำคัญที่สุดจะได้รับการดำเนินการก่อน
- การทำงาน : Product Owner จะสร้างและจัดการ Product Backlog ซึ่งเป็นรายการงานที่ต้องทำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งทำการจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้ทีมพัฒนาเข้าใจว่าแต่ละงานนั้นมีความสำคัญอย่างไร
- บทบาทสำคัญ : การตัดสินใจว่าความต้องการใดควรได้รับการพัฒนาและนำไปใช้งานใน Sprint นั้นๆ โดยต้องรักษาความสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
2. Scrum Master (ผู้ควบคุมกระบวนการทำงาน)
- หน้าที่หลัก : Scrum Master จะเป็นผู้ดูแลกระบวนการทำงานใน Scrum และเป็นผู้ช่วยให้ทีมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการช่วยเหลือทีมในการขจัดอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน
- การทำงาน : Scrum Master จะช่วยให้การประชุมต่างๆ เช่น Sprint Planning, Daily Scrum, Sprint Review, และ Sprint Retrospective เป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้อง รวมถึงการสนับสนุนให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
- บทบาทสำคัญ : การทำให้กระบวนการ Scrum ถูกดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักการ รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม เพื่อให้ทีมสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ติดขัด
3. Development Team (ทีมพัฒนา)
- หน้าที่หลัก : Development Team คือกลุ่มคนที่มีทักษะหลากหลายมาทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการตามความต้องการที่ได้รับจาก Product Owner
- การทำงาน : ทีมพัฒนาจะร่วมกันทำงานใน Sprint โดยแบ่งหน้าที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก Product Backlog ที่ถูกจัดลำดับความสำคัญแล้ว และจะไม่มีการแบ่งทีมย่อยภายใต้ทีมพัฒนาอีก ซึ่งจะต้องทำการส่งมอบผลลัพธ์ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
- บทบาทสำคัญ : ทำงานในแต่ละ Sprint อย่างอิสระ โดยเน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามที่ Product Owner กำหนด
scrum มีประโยชน์สำหรับธุรกิจเป็นอย่างมาก เพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้าอีกทั้งยังช่วยให้ขยายธุรกิจสู่ตลาดวงกว้างได้เร็วขึ้น
Scrum มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ?
ในกระบวนการ Scrum มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญหลายอย่าง ซึ่งช่วยให้ทีมสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ โดยประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ Product Backlog, Sprint Backlog, และ Increment ดังนี้
1. Product Backlog : รายการงานที่ต้องทำของผลิตภัณฑ์
Product Backlog คือ รายการของงานทั้งหมดที่ต้องทำเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่ง จะรวบรวมข้อกำหนดจากทั้งลูกค้าและทีมงานทั้งหมด โดยงานในรายการนี้จะถูกจัดลำดับความสำคัญโดย Product Owner ซึ่งจะพิจารณาความสำคัญของแต่ละงานตามความต้องการของลูกค้า และเป้าหมายของโปรเจกต์นั้นๆ โดยลักษณะของ Product Backlog จะเป็นรายการที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเพิ่มงานใหม่หรือลบงานที่ไม่จำเป็นออกได้ตามสถานการณ์
2. Sprint Backlog : รายการงานที่ต้องทำในแต่ละ Sprint
Sprint Backlog คือรายการงานที่ทีมจะทำในแต่ละ Sprint ซึ่งเป็นรอบการพัฒนาในช่วงเวลาสั้นๆ ปกติจะอยู่ประมาณ 2 - 4 สัปดาห์ โดยทีมงานจะเลือกงานจาก Product Backlog มาทำตามลำดับความสำคัญที่กำหนด โดยลักษณะของ Sprint Backlog จะมีการจัดลำดับงานที่ต้องทำภายใน Sprint และจะคงอยู่ใน Sprint จนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ ไม่มีการเพิ่มงานใหม่หรือเปลี่ยนแปลงรายการงานระหว่าง Sprint
3. Increment : ผลลัพธ์ที่ได้จากการพัฒนาในแต่ละ Sprint
Increment คือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานในแต่ละ Sprint ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำไปใช้งานได้ หรือมีมูลค่าเพิ่มจากการพัฒนาใน Sprint นั้นๆ โดยทุกๆ Increment จะต้องเป็นการพัฒนาที่เสร็จสมบูรณ์ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง ทั้งนี้ผลลัพธ์จาก Increment จะต้องสอดคล้องกับ Definition of Done (DoD) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่กำหนดว่าเมื่อไหร่ที่งานนั้นเสร็จสมบูรณ์ และจะต้องเสนอให้กับ Stakeholders หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะ และนำไปปรับปรุงตามความคิดเห็นที่ได้รับ
ขั้นตอนการทำ Scrum
ขั้นตอนการทำ Scrum ที่สำคัญประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
1. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะเวลาอย่างจำกัด (Sprint)
Sprint เป็นระยะเวลาในการทำงานที่กำหนดขึ้น โดยปกติแล้ว Sprint จะมีระยะเวลาตั้งแต่ 2 - 4 สัปดาห์ ในระยะเวลานี้ทีมจะทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนา Product Backlog ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน Sprint
2. การวางแผน Sprint (Sprint Planning)
Sprint Planning คือการประชุมที่จัดขึ้นก่อนการเริ่มต้น Sprint ใหม่ โดยจะมี Product Owner, Scrum Master และ Development Team เข้าร่วมเพื่อวางแผนการทำงานของ Sprint นั้นๆ ทั้งนี้ในการประชุม Sprint Planning จะมีการกำหนดเป้าหมายของ Sprint เลือกงานจาก Product Backlog ที่จะทำใน Sprint และจัดทำ Sprint Backlog หรือรายการงานที่ต้องทำใน Sprint ด้วย โดยมีขั้นตอน ดังนี้
- Product Owner จะอธิบายงานที่สำคัญจาก Product Backlog ให้ทีมฟัง
- ทีมพัฒนาจะประเมินและเลือกงานที่สามารถทำได้ภายใน Sprint
- Scrum Master จะช่วยให้กระบวนการวางแผนเป็นไปอย่างราบรื่น
3. ประชุมประจำวัน (Daily Scrum)
Daily Scrum หรือ Stand-up Meeting เป็นการประชุมสั้นๆ ที่จัดขึ้นทุกวัน โดยจะมีกำหนดเวลา 15 นาทีเท่านั้น ในการประชุมนี้สมาชิกในทีมจะพูดถึงเรื่องหลักๆ ได้แก่ สิ่งที่ทำไปแล้วในวันก่อนหน้า, สิ่งที่จะทำในวันถัดไป, มีอุปสรรคหรือปัญหาที่เจอในการทำงานที่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ซึ่งการประชุมนี้จะช่วยให้ทีมสามารถติดตามความคืบหน้าของงานแต่ละงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหา หรือปรับแผนการทำงานได้ทันท่วงที
4. การทบทวนผลลัพธ์ Sprint (Sprint Review)
Sprint Review คือการประชุมที่จัดขึ้นในตอนท้ายของแต่ละ Sprint เพื่อทบทวนผลลัพธ์ที่ได้จากการพัฒนาใน Sprint นั้นๆ โดยในการประชุม Sprint Review ทีมจะนำเสนอ Increment หรือผลิตภัณฑ์ที่เสร็จสมบูรณ์จาก Sprint ที่ผ่านมาให้ Product Owner, Scrum Master และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคนอื่นๆ ได้ดู โดยการประชุมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ Stakeholders สามารถให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสิ่งที่พัฒนาไปแล้ว และทำการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของงานใน Product Backlog ก่อนการเริ่มทำงานใน Sprint ถัดไป
5. การทบทวนกระบวนการทำงานใน Sprint (Sprint Retrospective)
Sprint Retrospective เป็นการประชุมที่จัดขึ้นหลังจาก Sprint Review เพื่อให้ทีมได้ทบทวนและประเมินกระบวนการทำงานใน Sprint ที่ผ่านมา โดยจะพิจารณาว่าสิ่งใดที่ทำได้ดีและควรทำต่อไป สิ่งใดที่สามารถนำไปปรับปรุงเพื่อให้การทำงานใน Sprint ต่อไปดีขึ้น ซึ่งการประชุมนี้จะช่วยให้ทีมสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และปรับปรุงกระบวนการทำงานให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
เทคนิคการทำ Scrum ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
1. กำหนดเป้าหมายแต่ละ Sprint ให้ชัดเจน
แต่ละ Sprint ควรมี Sprint เป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้จริง ต้องกำหนดขอบเขตของงานให้แน่นอน เพื่อลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงระหว่าง Sprint และให้แน่ใจว่าสมาชิกในทีมเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน
2. วางแผน Sprint อย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกเฉพาะงานที่สามารถทำให้เสร็จภายใน Sprint พร้อมกระจายปริมาณงานตามทักษะของสมาชิกแต่ละคนอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้อาจใช้ Story Point หรือการกำหนดคะแนนความยากของงานที่สัมพันธ์กับระยะเวลาในการทำงานนั้น เพื่อประเมินปริมาณงาน คุณภาพของงาน ให้เหมาะสมกับความสามารถของทีม
3. Daily Scrum ควรสั้น กระชับ และเน้นการแก้ปัญหา
จำกัดเวลาไม่เกิน 15 นาที และใช้คำถาม 3 ข้อตามที่แนะนำไปข้างต้น หากพบปัญหา ใดให้พูดถึงเฉพาะแนวทางแก้ไขสั้นๆ แล้วไปคุยต่อหลังจาก Daily Scrum
4. ใช้เครื่องมือช่วยจัดการงาน (Scrum Board / Kanban Board)
ใช้เครื่องมือ เช่น Trello, ClickUp, Wrike เพื่อติดตามความคืบหน้าของงาน รวมถึงตั้งสถานะของงานให้ชัดเจน เช่น To Do List, In Progress, Review, Done พร้อมอัพเดทบอร์ดเป็นประจำเพื่อให้ทุกคนรู้สถานะของโครงการ
5. กระตุ้นให้ทีมทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมกัน พร้อมให้ทุกคนช่วยกันแก้ปัญหา และเปิดโอกาสให้สมาชิกในทีมเสนอไอเดียในการปรับปรุงกระบวนการทำงานได้
6. Sprint Review ต้องเน้นการให้ Feedback ที่นำไปใช้ได้จริง
นำเสนอผลงานให้ Stakeholders พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะ และเก็บ Feedback เพื่อนำไปปรับปรุงในการทำงาน Sprint ถัดไป
7. Sprint Retrospective ควรมีการปรับปรุงในแต่ละรอบ
ใช้คำถาม 3 ข้อ อะไรดีอยู่แล้ว อะไรต้องปรับปรุง และจะปรับปรุงอย่างไร พร้อมกระตุ้นให้สมาชิกพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่ต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ และนำข้อเสนอแนะไปปฏิบัติจริง เพื่อให้การทำงานพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
8. Product Owner ต้องสื่อสารให้ชัดเจน
จัดลำดับความสำคัญของงาน (Prioritization) อย่างเหมาะสม พร้อมอัปเดต Product Backlog อย่างสม่ำเสมอ และสื่อสารกับทีมให้เข้าใจตรงกันว่าอะไรสำคัญที่สุดในแต่ละ Sprint
หากคุณเป็นคนที่ต้องจัดการโครงการหรือบริหารทีมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การใช้ Scrum นับว่าเป็นแนวทางที่ช่วยให้ทุกอย่างเป็นระบบและคล่องตัวขึ้น เช่นเดียวกับการบริหารการเงินส่วนตัว ที่ต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ทุกอย่างเป็นระเบียบและสะดวกสบาย
สมัครบัตรเครดิต KTC วันนี้ เพื่อให้คุณสามารถใช้จ่ายและจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นค่าเครื่องมือทำงาน ซอฟต์แวร์ หรือการลงทุนในการพัฒนาตัวเอง พร้อมสิทธิประโยชน์มากมายที่ช่วยให้การทำงานและการใช้ชีวิตของคุณราบรื่นยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสมัครบัตรเครดิต KTC ผ่านทางออนไลน์ได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC