การซื้อบ้านเป็นของตัวเอง คือหนึ่งในความฝันของใครหลายๆ คน อย่างไรก็ตาม บางครั้งเมื่อซื้อบ้านแล้วอาจประสบปัญหาไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดบ้านได้ เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต สำหรับใครที่อยากรู้ว่าถ้าผ่อนบ้านไม่ไหว คืนได้ไหม หรือผ่อนบ้านไม่ไหว ปล่อยยึดไปเลยดีหรือไม่ ในบทความนี้เราจะพาไปสำรวจสาเหตุ และแนวทางแก้ปัญหาที่ทำได้จริง พร้อมเคล็ดลับในการจัดการหนี้บ้านอย่างมีสติ เพื่อให้เจ้าของบ้านได้นำไปพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวเองกัน
ทำไมถึงผ่อนบ้านไม่ไหว?
- ภาระค่าใช้จ่ายสูง
เมื่อค่าผ่อนบ้านต่อเดือนสูงเกินกว่ารายได้ที่ได้รับ หรือเกิน 30–40% ของรายได้ทั้งหมด ก็อาจเริ่มเป็นภาระที่กดดันทางการเงิน - รายได้ไม่แน่นอน
เช่น ผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ หรือรายได้ไม่สม่ำเสมอ การวางแผนชำระหนี้ก้อนใหญ่แบบรายเดือนอาจเป็นเรื่องยาก - ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มขึ้น
เหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าศึกษาลูก หรือของใช้จำเป็นที่ราคาพุ่งสูงขึ้น อาจทำให้รายรับไม่พอรายจ่าย และภาระผ่อนบ้านกลายเป็นจุดเปราะบาง
6 แนวทาง ผ่อนบ้านไม่ไหว ทำยังไงดี?
ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ปล่อยให้บ้านถูกยึดไปเลย นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีนัก เพราะจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของบ้านเสียผลประโยชน์อย่างมหาศาล นอกจากต้องสูญเสียสิทธิ์ครอบครองบ้านไปแล้ว ยังอาจต้องเผชิญกับการถูกฟ้องร้องเรียกค่าส่วนต่างจากยอดขายบ้านทอดตลาด หากไม่เพียงพอชำระหนี้ที่ค้างชำระไว้
ผลเสียร้ายแรงที่ตามมาคือ ประวัติเครดิตจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ส่งผลต่อการขอสินเชื่อหรือกู้ยืมเงินในอนาคต มีโอกาสถูกฟ้องล้มละลายและดำเนินคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าทนายความ ที่อาจเป็นภาระหนักหน่วง
ดังนั้น การละเลยปัญหาและปล่อยให้บ้านถูกยึด มิใช่เพียงการสูญเสียทรัพย์สินเท่านั้น แต่ยังอาจนำมาซึ่งปัญหาด้านกฎหมาย การเงิน และความเป็นอยู่ในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นผ่อนบ้านไม่ไหว ปล่อยยึดเลยจึงเป็นสิ่งที่เราไม่แนะนำ ซึ่งเรามีทางออกหลากหลายวิธีที่ดีกว่าการปล่อยบ้านให้ถูกยึดมาแนะนำ ดังนี้
1. ประนอมหนี้กับธนาคารหรือต่อรองกับธนาคาร
สิ่งแรกที่ควรปฏิบัติเมื่อรู้ตัวว่าผ่อนบ้านไม่ไหวก็คือ อย่าปล่อยให้ตัวเองผิดนัดชำระหนี้เด็ดขาด เพราะจะทำให้มีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี ส่งผลให้เมื่อต้องเจรจาต่อรอง หรือเข้าถึงสินเชื่อทางการเงินอื่นๆ จะเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถผ่อนชำระต่อไปได้อีก สิ่งที่ควรทำคือเข้าไปปรึกษาและเจรจากับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อบ้านโดยตรงทันที เนื่องจากธนาคารย่อมต้องการได้รับการชำระคืนเงินกู้มากกว่าการยึดทรัพย์จำนอง การเข้าหารือกับธนาคารล่วงหน้าก่อนที่จะผิดนัดชำระหนี้จะช่วยให้ได้รับความร่วมมือมากกว่า อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการชำระคืนเงินกู้ของผู้กู้ด้วย ซึ่งจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถืออีกด้วยหลายธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาในการชำระหนี้ เช่น
- ขยายระยะเวลาผ่อนชำระ: เพื่อลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน
- ลดอัตราดอกเบี้ย: ทำให้ภาระรวมลดลงในระยะยาว
- ปรับโครงสร้างหนี้: รวมยอดหนี้เข้าด้วยกัน เพื่อการชำระที่ง่ายขึ้น
ข้อดี
- ช่วยให้เจ้าของบ้านได้รักษาทรัพย์สินไว้โดยไม่ต้องขายทอดตลาด
- ช่วยบรรเทาภาระหนี้สินในระยะสั้น โดยลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระลงชั่วคราว ทำให้มีเงินเหลือใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ ได้มากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้มีประวัติการเป็นหนี้ที่ไม่ดี ส่งผลต่อการขอสินเชื่ออื่นในอนาคต
- ยังคงได้รับการผ่อนผันจากธนาคารหากมีปัญหาเรื่องการผ่อนชำระอีกในภายหลัง
ข้อเสีย
- ยอดหนี้คงค้างจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องชำระดอกเบี้ยสูงขึ้นในระยะยาว
- ต้องใช้ระยะเวลาในการชำระหนี้ โดยอาจยืดออกไปหลายปี
- ต้องมีเอกสารหลักฐานมากมาย และผ่านกระบวนการพิจารณาของธนาคารก่อน
- ในกรณีที่ระงับหนี้แล้วแต่ยังมีปัญหาด้านการเงิน อาจต้องเจรจาขอระงับหนี้อีก ซึ่งอาจเป็นไปได้ยากขึ้น
- ประวัติการระงับหนี้อาจส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต
2. ขายบ้านและเช่าต่อ
หากประเมินแล้วว่าผ่อนไม่ไหวจริง ๆ การขายบ้านเพื่อนำเงินไปปิดหนี้ และหาที่อยู่ใหม่ที่ค่าใช้จ่ายน้อยลง อาจเป็นทางออกที่ดีกว่า
ข้อดี
- ปลดภาระหนี้สินได้ทันที หลังจากหักชำระหนี้ที่เหลืออยู่กับธนาคาร
- ได้เงินสดจากการขายบ้าน ซึ่งสามารถนำไปแก้ปัญหาการเงินอื่นๆ หรือลงทุนต่อได้
- มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น
ข้อเสีย
- ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการย้ายที่อยู่ใหม่
- มีค่าใช้จ่ายจากการขายบ้าน เช่น ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์, ค่าอากรแสตมป์, ค่าจดจำนอง เป็นต้น
- หากราคาขายต่ำกว่ายอดหนี้ ต้องจ่ายส่วนต่างให้ธนาคาร
- กว่าจะขายบ้านได้อาจต้องใช้เวลานาน ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็สะสมขึ้น
- อาจมีความรู้สึกผิดหวังจากการสูญเสียบ้าน ซึ่งเป็นทรัพย์สินมีค่า
3. รีไฟแนนซ์บ้าน
การรีไฟแนนซ์บ้านเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าพิจารณาสำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาผ่อนบ้านไม่ไหวเพราะดอกเบี้ยสูง โดยการรีไฟแนนซ์ หมายถึง การกู้เงินจากธนาคารใหม่ มาชำระหนี้เดิมของธนาคารเก่าที่เรากู้สินเชื่อบ้าน ซึ่งการรีไฟแนนซ์จะช่วยลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ ทั้งนี้
ขั้นตอนในการรีไฟแนนซ์บ้านนั้นอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละธนาคาร โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มจากการยื่นคำขอรีไฟแนนซ์พร้อมเอกสารประกอบต่างๆ เช่น สำเนาสัญญาเดิม หลักฐานรายได้ เป็นต้น จากนั้นทางธนาคารจะดำเนินการประเมินมูลค่าบ้านใหม่อีกครั้ง และอาจมีการตรวจสอบสภาพบ้านเพิ่มเติมด้วย และหลังจากนั้นจะเป็นขั้นตอนการอนุมัติวงเงินรีไฟแนนซ์ และกำหนดเงื่อนไขต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ เป็นต้น
นอกจากนี้ บางสถาบันการเงินอาจมีข้อเสนอเพิ่มเติม เช่น การทำประกันภัยบ้านควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจและลดความเสี่ยงสำหรับเจ้าของบ้าน การรีไฟแนนซ์จึงมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ผู้สนใจจำเป็นต้องศึกษาให้รอบคอบและเปรียบเทียบข้อเสนอจากหลายแห่งก่อนตัดสินใจ
ข้อดี
- ค่างวดผ่อนชำระรายเดือนลดลง โดยการขยายระยะเวลาผ่อนชำระออกไปนานขึ้น
- ช่วยลดอัตราดอกเบี้ย
- สามารถรวมหนี้หลายประเภทเข้าด้วยกัน ทำให้จัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น
- เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้และค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน
- โอกาสได้วงเงินกู้มากขึ้น หากราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น
ข้อเสีย
- มีค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ เช่น ค่าประเมินราคาบ้าน ค่าจดจำนอง
- ต้องใช้ระยะเวลาในการผ่อนชำระนานขึ้น หนี้จะยืดเยื้อออกไป
- ต้องมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด เช่น สถานะรายได้ เครดิตบูโร
4. คืนบ้านให้ธนาคาร
ในเมื่อผ่อนไม่ไหว ขอคืนได้ไหม ขอตอบว่า “ได้” การคืนบ้านให้ธนาคารเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถผ่อนชำระเงินกู้สำหรับการซื้อบ้านได้อีกต่อไป โดยผู้กู้สามารถตัดสินใจส่งมอบกรรมสิทธิ์ในบ้านคืนให้ธนาคารผู้ปล่อยสินเชื่อบ้านให้ เพื่อให้ธนาคารนำบ้านไปขายชำระหนี้ค้างชำระ
ขั้นตอนในการดำเนินการคือ ให้ติดต่อธนาคารเจ้าหนี้เพื่อแจ้งความประสงค์ขอคืนบ้าน พร้อมทั้งระบุเหตุผลที่ว่าทำไมจึงไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ จากนั้นตกลงวันที่มอบส่งบ้านและเอกสารกรรมสิทธิ์ เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ คุณจะต้องลงนามในเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์บ้านคืนให้ธนาคาร หลังจากนั้นธนาคารจะนำบ้านออกขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ที่ผู้กู้คงค้างอยู่
ข้อดี
- ปลดภาระหนี้ทั้งหมดได้ทันที หลังจากส่งมอบบ้านคืนให้ธนาคาร
- ไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาบ้าน
- หลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดประวัติเครดิตที่ไม่ดี
- มีโอกาสได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างปลอดหนี้สิน
- หากยอดขายบ้านสูงกว่ายอดหนี้คงเหลือ คุณอาจได้รับเงินส่วนต่างคืน
ข้อเสีย
- ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการย้ายที่อยู่ใหม่
- อาจมีภาระต้องจ่ายส่วนต่างให้ธนาคาร หากยอดขายบ้านต่ำกว่ายอดหนี้คงเหลือ
- ยังคงมีโอกาสถูกฟ้องร้องจากธนาคาร หากเงินจากการขายไม่เพียงพอชำระหนี้
- อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการคืนบ้านให้ธนาคาร
ปรับปรุงการเงินส่วนบุคคล
ก่อนตัดสินใจขายบ้าน ลองปรับพฤติกรรมทางการเงิน เช่น
- จัดทำงบประมาณรายรับ-รายจ่าย
- ลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น
- หารายได้เสริม
ข้อดี
- ยังรักษาบ้านไว้ได้
- ได้ฝึกวินัยการเงิน
- ยั่งยืนในระยะยาว
ข้อเสีย
- ต้องใช้เวลาและความมีวินัยสูง
- ไม่เหมาะกับคนที่รายได้ติดลบหรือหนี้สะสมมาก
- อาจต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตในระยะสั้น
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากปัญหาสลับซับซ้อนเกินจะแก้เอง การขอคำปรึกษาเป็นทางเลือกที่ดี เช่น
- ที่ปรึกษาทางการเงิน: ช่วยประเมินสถานะและวางแผน
- ทนายความ: ให้คำแนะนำด้านกฎหมายและการบังคับคดี
- หน่วยงานภาครัฐ: เช่น สคบ., ธปท., หรือโครงการช่วยเหลือหนี้
เคล็ดลับในการจัดการหนี้สิน
การรับมือกับหนี้ โดยเฉพาะหนี้บ้านที่มีมูลค่าสูง จำเป็นต้องใช้ทั้งวินัย ความเข้าใจ และการวางแผนอย่างมีระบบ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้คุณค่อย ๆ กลับมาควบคุมสถานการณ์ทางการเงินได้อีกครั้ง:
- ยอมรับสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา
การยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาหนี้สินคือจุดเริ่มต้นของการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ - รวบรวมข้อมูลหนี้ทั้งหมด
จดรายละเอียดหนี้ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นยอดคงค้าง งวดที่ต้องจ่าย อัตราดอกเบี้ย และวันครบกำหนด เพื่อประเมินว่าหนี้ไหนควรจัดการก่อน - วางแผนการเงินอย่างรัดกุม
ใช้งบประมาณรายรับ-รายจ่ายเป็นเครื่องมือ ตั้งเป้าหมายรายเดือน และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่เกินกำลัง และกันเงินบางส่วนไว้สำหรับฉุกเฉิน - ใช้เทคนิค “Snowball” หรือ “Avalanche”
หากมีหนี้หลายรายการ ลองใช้วิธี Snowball (ชำระหนี้ก้อนเล็กก่อนเพื่อให้มีกำลังใจ) หรือ Avalanche (เริ่มจากหนี้ดอกเบี้ยสูงสุดเพื่อประหยัดดอกเบี้ยในระยะยาว) - อย่าสร้างหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น
หากไม่ใช่เหตุจำเป็นจริง ๆ อย่าสร้างหนี้ใหม่ เพราะจะยิ่งทำให้ปัญหาหนี้ซับซ้อนขึ้น - หมั่นติดตามผลและปรับแผน
ตรวจสอบทุกเดือนว่าแผนการเงินที่วางไว้ใช้ได้ผลหรือไม่ และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ - สื่อสารกับครอบครัว
หนี้บ้านเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อทั้งครอบครัว การพูดคุยอย่างเปิดใจกับคู่สมรสหรือสมาชิกในบ้านสามารถช่วยให้เกิดความร่วมมือในการลดรายจ่ายหรือหารายได้เพิ่ม
เมื่อรู้ตัวแล้วว่าผ่อนบ้านไม่ไหว สิ่งที่ดีที่สุดคือการเข้าไปขอคำปรึกษาหาวิธีแก้ไขปัญหากับธนาคารหรือเจ้าหนี้โดยตรง นอกเหนือจากนี้ การเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งบัตรเครดิต KTC ถือเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะนอกจากจะใช้สำหรับชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้แล้ว ยังมีสิทธิประโยชน์อีกมากมาย เช่น การได้รับคะแนนสะสม การแลกของรางวัล หรือมีโปรโมชั่นส่วนลด โปรโมชั่นแลกรับเงินคืน ซึ่งจะทำให้คุณเหลือเงินบางส่วนไว้ใช้สำหรับผ่อนบ้านได้อีกทางนั่นเอง ดังนั้น หากใครที่สนใจสามารถสมัครบัตรเครดิต KTC ผ่านทางออนไลน์ได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชั่วโมง
ใช้จ่าย คุ้มค่า นึกถึงบัตรเครดิต KTC