28 ที่เที่ยวญี่ปุ่น ปี 2023 ปักหมุดไว้ ดีต่อใจแน่นอน
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศยอดฮิต อีกทั้งยังฟรีวีซ่า ทำให้หลายๆคนวางแพลนซื้อตั๋วไปเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ไปกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ ที่เที่ยวญี่ปุ่นก็มีหลากหลายรูปแบบทั้งเที่ยวแบบธรรมชาติ อย่างแหล่งออนเซ็นที่ขึ้นชื่อ เที่ยววัด เที่ยวสวนสนุก มาดูกันว่ามีที่เที่ยวในญี่ปุ่นที่ไหนบ้างที่ต้องห้ามพลาด
ปักหมุดสถานที่เที่ยวญี่ปุ่นที่ไม่ควรพลาด
1. ภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji)
ภูเขาไฟฟูจิเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์และแลนด์มาร์คของญี่ปุ่น หากไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ไปเยือนอาจจะเรียกได้ว่าไปไม่ถึงญี่ปุ่น ภูเขาไฟฟูจิมีความสูง 3,776 เมตร ถือเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่ชายแดนระหว่างจังหวัดชิสึโอกะและจังหวัดยามานาชิ รอบๆภูเขาเต็มไปด้วยธรรมชาติที่งดงาม มีทะเลสาบ 5 แห่ง คือ ยามานากาโกะ คาวากุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจินโกะ ไซโก้ ภูเขาไฟฟูจิไม่ได้เกิดการปะทุมานานกว่า 300 ปีแล้ว มีแต่ความสวยงามอลังการที่ดึงดูดให้เหล่านักท่องเที่ยวมาเก็บภาพความประทับใจกลับไป
2. พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial palace)
พระราชวังอิมพีเรียล นอกจากจะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นแล้วยังเป็นสถานที่สำหรับจัดงานพิธีสำคัญๆหลายพิธี จุดไฮไลท์ภายในพระราชวังอิมพีเรียล ก็มีทั้ง สะพานแว่นตา หรือ สะพานนิจูบาชิ เหตุที่ชื่อสะพานแว่นตาเนื่องจากเมื่อเกิดเงาสะท้อนบนผิวน้ำทำให้มองคล้ายแว่นตา และยังมีสวนตะวันออกที่ตกแต่งด้วยศิลปะญี่ปุ่น และมีพิพิธภัณฑ์ของสะสมในพระองค์พระจักรพรรดิ เปิดให้ได้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
3. ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle)
ปราสาทมัตสึโมโตะ หรือ ปราสาทอีกา อยู่ในจังหวัดนากาโนะ เป็นปราสาทที่มีอายุกว่า 400 ปีถือเป็นหนึ่งในสมบัติประจำชาติ เป็นปราสาทสีดำดูน่าเกรงขาม โดยตัวปราสาทสร้างจากไม้แต่ไม่ใช้ประตูเลย ภายในตัวปราสาทตามแนวทางเดินจัดแสดงวัสดุเครื่องใช้ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น ชุดเกราะ ปืน และอาวุธอื่นๆที่ใช้ในการสู้รบ ปราสาทไม่ได้สวยงามเฉพาะเวลากลางวันเท่านั้นเพราะกลางคืนรอบๆปราสาทมีการประดับแสงไฟส่องสว่างไปยังปราสาทดูสวยงามตระการตา
4. ปราสาทโอซาก้า (Osaka castle)
ปราสาทโอซาก้าเป็นที่เที่ยวญี่ปุ่นยอดนิยมอันดับต้นๆ นอกจากไปชมความสวยงามของตัวปราสาทแล้ว ภายในปราสาทเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 8 ชั้นแต่ละชั้นจัดแสดงข้อมูลของปราสาทโอซาก้า มีทั้งภาพวาด แบบจำลอง ข้าวของเครื่องใช้ ที่ชั้น 8 เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม บริเวณรอบตัวปราสาทมีสวนสาธารณะบรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบให้ได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ หากมาในช่วงเดือนมีนาคมจะเห็นดอกบ๊วยบาน และหากมาในช่วงเดือนเมษายนจะได้ชมดอกซากุระ
5. ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างมานานกว่า 600 ปี อยู่ในจังหวัดเฮียวโกะ ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ตัวปราสาทมีสีขาวสวยงามตระการตา ทำให้ปราสาทฮิเมจิมีอีกชื่อว่า ปราสาทนกกระสาขาว นอกจากตัวปราสาทที่สวยงามแล้วยังมีสวนนิชิโนะมารุที่มีต้นซากุระรอบล้อมตัวปราสาทกว่า 1,000 ต้น หากมาในช่วงที่ซากุระบ้านยิ่งส่งเสริมให้ตัวปราสาทสวยงามยิ่งกว่าเดิม และยังเป็นจุดชมซากุระที่สวยงาม
6. ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle)
ปราสาทสึรุกะ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ปราสาทไอสุวากามัตสึ ตั้งอยู่ในจังหวัดฟุคุชิมะ ตัวปราสาทเป็นสีขาวมีหลังคาสีแดง ภายในเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของปราสาทสึรุกะ ดินแดนไอซุวาคามัตสึ วิถีชีวิตซามูไรและดินแดนใกล้เคียง ไฮไลท์ของที่นี่คือในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม จะเป็นช่วงที่ซากุระบานนักท่องเที่ยวจะนิยมมาชมซากุระที่นี่ ไม่เพียงแต่มีซากุระสวยๆให้ชมยังมีการแสดงให้ได้ชมอีกด้วย อย่างการแสดงกลองไทโกะญี่ปุ่น อีกหนึ่งไฮไลท์คือในช่วงเดือนกันยายนจะมีงานเทศกาลไอซุ มีการรำไอซุบันไดยามะโอโดริ พร้อมขบวนพาเหรดที่มีผู้คนในขบวนกว่า 500 คน ท่ามกลางเสียงขลุ่ยและกลองไทโกะ
7. เจดีย์ยาซากะ - วัดโฮคันจิ (Hokan-ji Temple)
ที่เที่ยวญี่ปุ่นหรือจุดเช็คอินในญี่ปุ่นที่ขาดไม่ได้เลยคือวัด หนึ่งในวัดที่เป็นวัดยอดฮิตคือวัดโฮคันจิ นักท่องเที่ยวนิยมไปชมเจดีย์ยาซากะ เป็นเจดีย์ 5 ชั้น มีความสูง 49 เมตร ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวสามารถมาเที่ยวชมเจดีย์ยาซากะได้ตลอดทั้งปี ไปถ่ายรูปเช็คอินรับรองฟินแน่นอน
8. นาราปาร์ค (Nara park)
อีกหนึ่งในที่เที่ยวญี่ปุ่นยอดฮิต ที่ไม่ไปไม่ได้แล้วคือ สวนกวางนาราปาร์ค ที่นี่เป็นที่อยู่ของกวางกว่า 1200 ตัว นักท่องเที่ยวนิยมไปชมความน่ารักของเจ้ากวาง ให้อาหาร ถ่ายรูปกับเจ้ากวางที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากๆ อาหารของเจ้ากวางสามารถซื้อได้จากเจ้าหน้าที่ซึ่งคือขนมเซ็มเบ เป็นขนมปังข้าวอบกรอบสูตรพิเศษเพื่อกวาง แผ่นบางกรอบ กลิ่นหอม หากอยากชมทั้งกวางและชมทั้งซากุระในเวลาเดียวกันแนะนำให้มาในช่วงดือนมีนาคม-เมษายน หรือจะมาปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายนก็จะได้ชม ใบไม้เปลี่ยนสี
9. วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)
วัดเบียวโดอินสร้างขึ้นมาประมาณ 1,000 กว่าปีมาแล้ว อยู่ในจังหวัดเกียวโต เป็นวัดที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบโจโดสวยงามโดดเด่น มีวิหารไม้สีแดงด้านบนตรงมุมสันหลังคามีรูปปั้นนกโฮโอหรือที่ทั่วไปนิยมเรียกว่าฟีนิกซ์สองตัวยืนอยู่ มีสวนและบึงน้ำล้อมรอบตัววิหาร มีพิพิธภัณฑ์โฮโชคังวัดเบียวโดอินซึ่งจัดแสดงของสะสมล้ำค่าให้ได้เข้าชม ทางเข้าวัดมีถนนที่เต็มไปด้วยของกินและของฝากให้ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน
10. วัดเซ็นโซจิ (Sensoji temple)
วัดที่ถือเป็นที่เที่ยวญี่ปุ่นยอดนิยมอันดับต้นๆคือวัดเซ็นโซจิ หรือหลายๆคนคุ้นกันในชื่อวัดโคมแดง โดดเด่นด้วยประตูทางเข้าวัดขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ประตูคามินาริ หรือ ประตูอสุนี บนคานประตูแขวนโคมกระดาษขนาดใหญ่มีความสูงกว่า 5.5 เมตร วัดแห่งนี้มีความเชื่อว่าหากร่างกายได้สัมผัสควันธูป ร่างกายจะได้รับการฟื้นฟูไร้โรคภัยไข้เจ็บ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิวัดเซ็นโซจิเป็นสถานที่จัดเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในโตเกียว ผู้คนไม่ว่าจะเป็นชาวญี่ปุ่นเองหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะพากันหลั่งไหลมาที่วัดแห่งนี้
11. ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ (Toshogu Shrine)
ศาลเจ้านิกโกะโทโชกุ ตั้งอยู่ในจังหวัดโทจิงิ เป็นสุสานของโทกุกาวะ อิเอยาซุ ผู้นำซามูไรที่โด่งดัง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ภายในศาลเจ้ามีจุดเด่นอยู่ที่เจดีย์ห้าชั้นสีแดงสวยงาม มีประตูทางเข้าที่สร้างขึ้นจากความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและชินโต
12. ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ (Fushimi Inari Taisha)
ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะ เป็นศาลเจ้าชื่อดังอันดับต้นๆของญี่ปุ่นที่มีไฮไลท์คือทางเข้าที่เป็นอุโมงค์เสาประตูโทริอินับพันต้นความยาว 4 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปที่จุดนี้ บริเวณรอบๆศาลเจ้ามีรูปปั้นและสัญลักษณ์เกี่ยวกับสุนัขจิ้งจอกมากมาย นอกจากมาไหว้ขอพรแล้วก็ยัง มีคุ้กกี้เสี่ยงทายให้ได้ลองเสี่ยง เรียกได้ว่าที่นี่เป็นต้นกำเนิดของคุ้กกี้เสี่ยงทายเลยก็ว่าได้
13. ป่าไผ่ซากาโนะ (Sagano Bamboo Forest)
หลายๆคนคงจะคุ้นตากันดีกับที่เที่ยวญี่ปุ่นแห่งนี้ ถูกใจสายรักธรรมชาติอย่างแน่นอน ที่ป่าไผ่ซากาโนะซึ่งอยู่ในจังหวัดอาราชิยาม่า เป็นป่าไผ่ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเกียวโต ป่าไผ่มีความยาว 500 เมตรสวยงามแปลกตา ระหว่างทางเดินนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศที่ร่มรื่น เสียงไม้ไผ่สีกัน ทำให้นักท่องเที่ยวหลงเสน่ห์ของที่นี่ได้ง่ายๆ
14. น้ำตกนาจิ (Nachi Fall)
น้ำตกนาจิ อยู่ที่วัดเซงันโตะ ด้านบนของน้ำตกมีหินสองก้อน ที่ถือเป็นตัวแทนเทพารักษ์ของน้ำตกและศาลเจ้าคูมาโนะนาจิ เป็นน้ำตกที่มีความสูง 133 เมตร ถือเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นมีน้ำไหลตลอดปี ทำให้ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางไปเที่ยวในช่วงเดือนไหน ก็สามารถไปชมความสวยงามของน้ำตกแห่งนี้ได้ นักท่องเที่ยวที่มาวัดแห่งนี้นอกจากจะได้มาขอพรแล้วยังได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติเรียกได้ว่าคุ้มมากๆ
15. ทะเลสาปโกชิคินุมะ (Goshikinuma)
ทะเลสาปโกชิคินุมะ หรือ ทะเลสาบห้าสี (สีเขียวมรกต, สีน้ำเงินโคบอลต์, สีน้ำเงินสีเขียวขุ่น, สีฟ้ามรกตและสีฟ้า) ที่เกิดจากน้ำในแต่ละบึงเป็นความสวยงามจากธรรมชาติ กิจกรรมที่เหล่านักท่องเที่ยวมักจะทำเมื่อไปทะเลสาปโกชิคินุมะนอกจากการไปชมความสวยงามของสีน้ำแล้ว ยังมีกิจกรรมพายเรือชมวิวทิวทัศน์รอบๆทะเลสาบ สามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ทุกฤดูโดยแต่ละฤดูจะสวยงามแตกต่างกันออกไป
16. ทะเลสาบคาวากูจิโกะ (Lake Kawaguchi)
ทะเลสาบคาวากูจิโกะ เป็นทะเลสาบรอบภูเขาไฟฟูจิ มีความสูง 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ถือเป็นจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สวยที่สุดจุดหนึ่งเลยก็ว่าได้ เมื่อไปเที่ยวทะเลสาบคาวากูจิโกะแล้วก็มีจุดเที่ยวใกล้ๆอย่าง - กระเช้าคาจิคาจิภูเขาเทนโจ ที่มีความสูง 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพที่สวยงามได้ - พิพิธภัณฑ์ศิลปะคูโบตะอิตจิคุ จัดแสดงผลงานศิลปะของ Kubota Itchiku - พิพิธภัณฑ์ศิลปะคาวากูจิโกะ จัดแสดงศิลปะสมัยใหม่ของชาวญี่ปุ่น - พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส ที่เป็นทั้งสวนสนุกขนาดเล็กและเป็นพิพิธภัณฑ์ - พิพิธภัณฑ์อัญมณียามานาชิ จัดแสดงงอัญมณี เพชรพลอย และคริสตัลควอทซ์ขนาดใหญ่ - หอสมุนไพร สวนสมุนไพร มีเรือนกระจกและมีร้านค้าสำหรับซื้อสมุนไพรติดไม้ติดมือกลับบ้าน
17. หมู่บ้านโออุจิจูคุ (Ouchi Juku)
อีกหนึ่งที่เที่ยวที่ต้องอยู่ในลิสต์ที่เที่ยวญี่ปุ่นแบบขาดไม่ได้เลยคือ หมู่บ้านโออุจิจูคุ หมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดฟุคุชิมะที่บ้านเรือนเป็นแบบดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เป็นหมู่บ้านที่มีบ้านเรียงรายยาวประมาณ 500 เมตร บ้านบางหลังเป็นร้านค้า บ้านบางหลังเป็นร้านอาหาร บ้านบางหลังเป็นที่พักสำหรับบริการนักท่องเที่ยว มาที่นี่จะได้สัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่นแบบเก่าแก่แต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่พร้อมจะทำให้เหล่านักท่องเที่ยวตกหลุมรักได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการสาธิตการทำโซบะ มีอาหารท้องถิ่นให้ได้ชิม และไฮไลท์คือจุดชมวิวที่ศาลเจ้า Itsukushima วิวทิวทัศน์สวยงามมองเห็นหลังคาบ้านแต่ละหลังสวยงามตามแต่ละฤดูกาล
18. ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-Go)
ชิราคาวาโกะ เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวนาอยู่ท่ามกลางหุบเขาเป็นหมู่บ้านยอดฮิตของเหล่านักท่องเที่ยว บ้านเรือนในหมู่บ้านแห่งนี้มีอายุกว่า 200 - 300 ปี สถาปัตยกรรมของบ้านเป็นบ้านทรงหลังคาทรงมือพนมที่เรียกว่ากัชโชสุคุริ ผู้คนในหมู่บ้านยังคงมีวิถีชีวิตไม่แตกต่างจากในอดีตมากนักทำให้กลายเป็นเสน่ห์ของที่นี่ การมาเที่ยวที่หมู่บ้านแห่งนี้นอกจากการเดินเล่นชมบ้านแล้ว บ้านหลายๆหลังยังเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกให้ได้ซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปอีกด้วย สำหรับสายบุญและสายมูก็หายห่วงไปได้เลยเพราะที่นี่ก็มีวัดและศาลเจ้า ให้ได้ไหว้ขอพร สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างคืนที่นี่ก็มีโฮมสเตย์ไว้บริการ ไฮไลท์ของที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะที่พลาดไม่ด้เลยคือ จุดชมวิวชิราคาวาโกะ เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองลงไปเห็นหมู่บ้านเล็กจิ๋วน่ารัก และหากมาในช่วงหน้าหนาวเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ หลังคาบ้านและหมู่บ้านจะปกคลุมไปด้วยหิมะตัดกับแสงไฟที่เปิดส่องสว่างออกมาดูสวยงามราวกับภาพวาด ที่ชิราคาวาโกะถือเป็นที่เที่ยวญี่ปุ่นที่ต้องมาให้ได้ไม่ว่าจะมาฤดูไหนก็สวยงามไม่แพ้กัน
19. ริมคลองโอตารุ (Otaru Canal Area)
คลองโอตารุใช้เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟซัปโปโรประมาณครึ่งชั่วโมง ในอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นท่าเรือที่คึกคัก มีการขนถ่ายสินค้ามีเรือใหญ่เรือเล็ก แต่ในปัจจุบันที่นี่มีการบูรณะจนสวยงามกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นยอดฮิตที่ดึงดูดให้เหล่านักเดินทางท่องเที่ยวจากทั่วโลกแวะมา โกดังได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า และร้านอาหาร ที่คลองโอตารุแห่งนี้สวยงามทั้งตอนกลางวันและตอนกลางคืน โดยในตอนกลางคืนมีการประดับประดาด้วยตะเกียงให้บรรยากาศสุดโรแมนติกเหมาะกับคู่รัก ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงหน้าหนาวที่นี่มีการจัดงาน เทศกาลทางเดินหิมะโอตารุ Otaru Snow Light Path Festival นักท่องเที่ยวสามารถมาเดินชมความสวยงามได้แบบฟินสุดๆ
20. ย่านเมืองเก่าคาวาโกเอะ (Kawagoe Little Edo)
เมืองเล็กๆ ในจังหวัดไซตามะ ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการเดินทางจากโตเกียว ที่นี่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและบรรยากาศแบบย้อนยุค มีรถบัสดีไซน์เก๋วิ่งรอบเมือง มี Toki No Kane หรือ “หอระฆังโบราณ” ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมือง และไฮไลท์ของที่นี่ที่รับรองว่าถูกใจทุกเพศทุกวัยอย่างแน่นอน คือ เป็นแหล่งขนมหวาน มีตรอกขนมหวานที่เต็มไปด้วยร้านขนมสไตล์ญี่ปุ่นหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น มันหวานญี่ปุ่น โมจิไส้ถั่วแดง ไอศกรีม Mix Soft Cream มันเหลืองและมันม่วง และอีกมากมาย อีกทั้งมีร้าเช่าชุดกิโมโนให้ได้เช่าใส่ไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆในเมือง หากอยากสัมผัสบรรยากาศแบบย้อนยุคของญี่ปุ่นแล้วที่นี่ถือเป็นที่เที่ยวญี่ปุ่นที่ต้องอยู่ในลิสต์
21. ฟาร์มโทมิตะ (Farm tomita)
หากมีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น และได้ไปที่ฮอกไกโดก็ต้องไปที่ฟาร์มโทมิตะ ฟาร์มดอกไม้หรือทุ่งดอกไม้ยอดฮิตของเมืองฮอกไกโด โดยดอกไม้ที่โด่งดังของที่นี่เป็นดอกลาเวนเดอร์ซึ่งจะบานในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม ส่วนในเดือนอื่นๆจะมี ดอกป๊อปปี้ ดอกลูปิน และดอกลิลลี่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ได้ชม นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่นิยมมาถ่ายรูปคู่กับดอกไม้สีสันสดใสและมีฉากหลังเป็นภูเขาโทกะชิ มีร้านกาแฟ มีร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกให้ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน หรือถ้านักท่องเที่ยวคนใดอยากเวิร์คช็อป ทางฟาร์มก็มีโซนสำหรับเวิร์คช็อป
22. โตเกียว ทาวเวอร์ (Tokyo Tower)
หอคอยสื่อสารที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว สร้างขึ้นหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความสูง 332.6 เมตร หอคอยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ชั้นล่างสุดเป็น พิพิธภัณฑ์ ร้านค้า ร้านอาหาร อีกสองส่วนเป็นจุดชมวิวของหอคอย ซึ่งวิวด้านบนหอคอยสวยงามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ในช่วงกลางคืนหอคอยจะประดับประดาไปด้วยไฟสวยงามถึงแม้ว่าจะมองจากที่ไกลๆ
23. โตเกียวสกายทรี (Tokyo Sky Tree)
โตเกียวสกายทรี หรือ โตเกียวทาวเวอร์แห่งใหม่ เป็นหอกระจายคลื่นเช่นเดียวกับโตเกียวทาวเวอร์ มีความสูง 634 เมตร ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม หากอากาศปลอดโปร่งสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้เลย บริเวณรอบโตเกียวสกายทรีมีห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสไตล์โมเดิร์นมากมายหลายร้าน ที่นี่ถือเป็นแลนด์มาร์คและที่เที่ยวแห่งใหม่ของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ หากไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วก็อย่าลืมแวะไปทั้งโตเกียวทาวเวอร์และโตเกียวสกายทรี ไปสัมผัสบรรยากาศการชมวิวที่สวยงามแต่บรรยากาศแตกต่างกันแน่นอน
24. หอคอยแห่งโกเบ (Kobe Port Tower)
หอคอยแห่งโกเบ เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองโกเบเป็นอาคารเหล็กมีรูปร่างแบบเกลียวคล้ายกับกลองของญี่ปุ่นตั้งอยู่ริมทะเล โดดเด่นด้วยสีแดงเป็นสง่ามีความสูง 108 เมตร ภายในมี 5 ชั้น นักท่องเที่ยวนิยมไปชมวิวทิวทัศน์ด้านบนหอคอย มีร้านขายของที่ระลึก และชั้นบนสุดมีสวนสนุก มีคาเฟ่ให้ได้ไปนั่งชมวิวชิลๆ โดยไฮไลท์คือสามารถหมุนรอบตัวเองได้ในทุกๆ 20 นาที
25. ย่านช็อปปิ้งชินกุจุ (Shinjuku)
มาเที่ยวญี่ปุ่นจะไม่ช็อปปิ้งก็อาจจะเรียกได้ว่ามาไม่ถึง ย่านช็อปปิ้งที่โด่งดังตลอดกาลคือย่านชินจุกุ ตั้งอยู่ใจกลางสถานีรถไฟชินจุกุ เป็นย่านที่มีแสงสี แสงไฟ คึกคักแม้ในยามค่ำคืน นอกจากจะเป็นแหล่งช็อปปิ้งแล้วยังมีสถานบันเทิงให้เหล่านักท่องราตรีได้ไปสัมผัส มีร้านอาหารและของกินอร่อยๆเพียบ มีห้างสรรพสินค้าหลายห้างให้ได้เลือกเดิน ไม่ว่าจะเป็น ห้างอิเซตัน ห้างเคโอ เรียกได้ว่าเพลิดเพลินกันอย่างแน่นอน
26. ยูนิเวอร์แซลสตูดิ (Universal Studio Japan)
ที่เที่ยวญี่ปุ่นที่รับรองว่าถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่อย่างแน่นอนคือ Universal Studio Japan โดยแบ่งออกเป็น 9 โซน คือ Hollywood, New York, San Francisco Jurassic Park, Amity Village, Water World, Universal Wonderland, Minion Park และ The Wizarding World of Harry Potter แต่ละโซนก็จะมีเครื่องเล่นและความสนุกแตกต่างกันออกไป และโซนที่ยอดฮิตอย่างโซนของแฮรี่ พอตเตอร์ ก็มีของให้ได้เลือกซื้อหลากหลายไม่ว่าจะเป็น ไม้กายสิทธิ์ ผ้าพันคอ ลูกอมหลากรส รับรองว่าถูกใจสาวกแฮรี่อย่างแน่นอน ไปวันเดียวอาจจะเที่ยวได้ไม่ครบทุกโซน นักท่องเที่ยวที่จะไปอาจจะต้องวางแผนกันดีๆ
27. โตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea)
อีกหนึ่งสวนสนุกนอกจาก Universal Studio Japan คือ Tokyo DisneySea เป็นหนึ่งในที่เที่ยวญี่ปุ่นยอดฮิตไม่แพ้ที่ใดๆ เพราะสามารถเที่ยวได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีจุดถ่ายรูปแบบที่ถ่ายกันจนเหนื่อยไปเลย มีตัวละครจากการ์ตูนเรื่องต่างๆออกมาโล้ดแล่น มีเครื่องเล่นหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Toy Story Mania , Mickey Ice Bar , Journey to The Center of The Earth และอีกมากมาย สวนสนุกก็ต้องคู่กับขนมหวาน ขนมหวานที่พลาดไม่ได้ต้องซื้อเพื่อมาถ่ายรูปก็อย่างเช่น Mickey Tiramisu Ice Cream Sandwich , Sea Salt Ice Cream Monaka , Little Green Man Dumpling เป็นต้น เข้าไปที่โตเกียวดิสนีย์ซีแล้วรับรองว่าสนุกจนลืมวันเวลาไปเลย
28. พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอูมิ โอกินาว่า (Okinawa churaumi aquarium)
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอูมิ ตั้งอยู่บนเกาะโอกินาว่า ภายในมีทั้งหมด 4 ชั้น มีตู้ปลาขนาดใหญ่ที่สามารถจุน้ำทะเลได้ถึง 7,500 ลูกบาศก์เมตร มีฉลามวาฬตัวใหญ่สองตัวที่ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ให้ชม นักท่องเที่ยวจะได้พบกับสัตว์น้ำที่หายากหลายชนิด เรียกได้ว่าได้ใกล้ชิดกับโลกใต้น้ำแบบที่คาดไม่ถึง ด้านนอกตัวอาคารเป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงโชว์ ไม่ว่าจะเป็นโชว์จากโลมา พยูน และมีศูนย์เพาะพันธุ์เต่าทะเลให้ได้แวะชม อีกหนึ่งที่เที่ยวของญี่ปุ่นที่ไม่ควรพลาด ถูกใจเด็กๆโดนใจผู้ใหญ่กลับไปอย่างแน่นอน
สมาชิกบัตรเครดิต KTC เที่ยวไทย เที่ยวต่างประเทศ จองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม / รีสอร์ท จองรถเช่า ประกันการเดินทาง หรือ ปรึกษาข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยว โปรโมชั่นสายการบิน โปรโมชั่นที่พัก ฯลฯ แสนสะดวก ไม่มีค่าธรรมเนียมการรูดบัตร ได้ที่ KTC World Travel Service โทร. 02 123 5050 ให้บริการข้อมูลการเดินทาง จองและวางแผนการเดินทาง (Travel Planner) ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ส่งอีเมล์มาที่ ktcworld@ktc.co.th หรือ สอบถามข้อมูลผ่านช่องทาง LINE: KTC WORLD และ Facebook : KTC WORLD Community
ตรวจสอบโปรโมชั่น / สิทธิพิเศษบัตรเครดิต KTC ที่ KTC WORLD TRAVEL SERVICE คลิก
อ่านเรื่องราวการท่องเที่ยวอื่นๆเพิ่มเติม