นักลงทุนสัมพันธ์

คำถามที่พบบ่อยของ
นักลงทุนสัมพันธ์

1.

โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัท

บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (“บริษัท” หรือ “เคทีซี”) ประกอบธุรกิจหลักด้านบัตรเครดิต ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจร้านค้ารับบัตร การให้บริการรับชำระเงินแทน และธุรกิจสินเชื่อบุคคล ซึ่งครอบคลุมไปถึงสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับและสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน นอกจากนี้ เพื่อให้บริษัทมีการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและสังคม บริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินซึ่งครอบคลุมธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ ธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจเช่าซื้อและธุรกิจลิสซิ่ง เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนระยะยาวอย่างยั่งยืน

2.

ธุรกิจหลักของบริษัทคืออะไร

KTC ดำเนินธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภครายย่อย แบ่งเป็น สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน อาทิ ธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล รวมถึงสินเชื่อที่มีหลักประกัน อาทิ ธุรกิจบริการชำระเงินภายใต้การกำกับ (Prepaid) สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ธุรกิจลีสซิ่งและธุรกิจเช่าซื้อ โดย ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมีพอร์ตลูกหนี้รวม ลูกหนี้บัตรเครดิตรวม ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล และลูกหนี้ตามสัญญาเช่ารวม ตามกราฟด้านล่าง

3.

แหล่งที่มาของรายได้

โครงสร้างรายได้ของ KTC มาจากรายได้ดอกเบี้ยรับและค่าธรรมเนียมของสองธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจบัตรเครดิต และธุรกิจสินเชื่อบุคคล รวมถึงธุรกิจสินเชื่อตามสัญญาเช่า ตามแผนภูมิด้านล่าง

4.

หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

5.

แหล่งที่มาของเงินกู้ยืม และ ภาระผูกพันในการก่อหนี้

ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 59,344 ล้านบาทแบ่งสัดส่วนโครงสร้างแหล่งเงินทุนเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) 23.3% และเงินกู้ยืมระยะยาว 76.7% ซึ่ง

เคทีซีมีแหล่งที่มาของเงินกู้ยืมที่หลากหลาย ทั้งจากธนาคารพาณิชย์ไทย บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันและกองทุนต่าง ๆ โดยแบ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินและบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน 3,980 ล้านบาท เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงไทย จำนวน 10,500 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 44,864 ล้านบาท

อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.83 เท่า ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 2.00 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพัน (Debt Covenants) ที่ 10 เท่า

นอกจากนี้กลุ่มบริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงิน (Total Short-Term Credit Line) รวมทั้งสิ้นจำนวน 28,871 ล้านบาท (รวมวงเงินจากธนาคารกรุงไทย 18,561 ล้านบาท) กลุ่มบริษัทใช้วงเงินระยะสั้นไปจำนวน 3,881 ล้านบาท ทำให้มีวงเงินคงเหลือทั้งสิ้น 24,990 ล้านบาท

6.

ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลของบริษัทเทียบกับอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมสินเชื่อผู้บริโภคยังเติบโตแบบชะลอตัว ด้วยแรงกดดันจากความสามารถในการชำระหนี้ รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 54.1 ซึ่งดัชนีดังกล่าวอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 16 สะท้อนภาพรวมความเชื่อมั่นในเกณฑ์ที่ดี ยอดลูกหนี้บัตรเครดิตของอุตสาหกรรมรวม ณ เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 เท่ากับ 531,455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% (YoY) และปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวมของอุตสาหกรรมใน 2 เดือนแรกปี 2567 ขยายตัว 6.9% (YoY) ขณะที่ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) เท่ากับ 504,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% (YoY) และยอดลูกหนี้สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันเท่ากับ 348,909 ล้านบาท เติบโต 34.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2566

เคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรมสำหรับ 2 เดือนแรก ปี 2567 เท่ากับ 13.2% ส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทเท่ากับ 12.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 และมีสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคล (ไม่รวมสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) เทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 6.3%

7.

การติดตามหนี้ของบริษัท

บริษัทให้ความใส่ใจกับทุกๆ ขั้นตอนของการดำเนินงาน โดยมีการคัดกรองตั้งแต่ขั้นตอนการอนุมัติบัตร รวมถึงบริษัทมีกระบวนการติดตามหนี้ที่ดี อีกทั้งมีทีมผู้บริหารที่มีความใส่ใจในกระบวนการติดตามหนี้ของบริษัทอยู่เสมอ บริษัทจึงสามารถจัดเก็บหนี้ได้ดีและมีคุณภาพสินเชื่อที่ดี โดยในไตรมาส 1 ปี 2567 หนี้สูญได้รับคืนมีจำนวน 1,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.7% (YoY) แบ่งเป็นหนี้สูญได้รับคืนจาก KTC จำนวน 1,013 ล้านบาท และ KTBL จำนวน 28 ล้านบาท หนี้สูญได้รับคืนที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการติดตามหนี้ได้ดีในทุกกลุ่มธุรกิจ

8.

คุณภาพสินเชื่อของบริษัทและการตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มบริษัท (%NPL) สำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 2.0% ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2566 ที่อยู่ที่ 2.2% แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่อยู่ระดับ 1.9% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นมาจากการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ตามสัญญาเช่า โดย NPL รวมสำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 ของลูกหนี้บัตรเครดิต ลูกหนี้สินเชื่อบุคคล และลูกหนี้ตามสัญญาเช่าอยู่ที่ 1.2% 2.1% และ 19.7% ตามลำดับ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทมีค่าเผื่อผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 7,399 ล้านบาท ลดลง 17.2% (YoY) เป็นผลจากการตัดหนี้สูญเร็วขึ้นซึ่งบริษัทมีการตั้งสำรองไว้แล้ว โดยมีอัตราค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อ NPL (NPL Coverage Ratio) อยู่ในระดับที่ 353.8% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ที่อยู่ระดับ 462.5%

อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมของงบเฉพาะกิจการ (%NPL) สำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 อยู่ที่ 1.5% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 1.7% โดยค่าเผื่อผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเท่ากับ 6,536 ล้านบาท คิดเป็นอัตราค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อ NPL (NPL Coverage Ratio) เท่ากับ 434.7% ปรับลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนที่อยู่ที่ 501.6%

สำหรับ Credit Cost ของงบเฉพาะกิจการและของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2567 สูงขึ้นเป็น 6.3% และ 6.4% ตามลำดับ ด้วยผลของการตัดหนี้สูญที่เร็วขึ้น ทั้งนี้กลุ่มบริษัทมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพียงพอ เพื่อรองรับความผันผวนของปัจจัยทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

9.

ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขี้น

ในไตรมาส 1 ปี 2567 ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น มีจำนวน 1,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.2% (YoY) มาจากการตัดหนี้สูญที่เร็วขึ้น

10.

นโยบายการจ่ายเงินปันผล

จากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2546 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2546 มีมติให้จ่ายเงินปันผลในอัตราประมาณ ร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป โดยได้แสดงอัตราการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการของปี 2562 – 2566 ตามตารางด้านล่างดังนี้

11.

กลยุทธ์ของเคทีซีที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน

กลยุทธ์ของเคทีซีได้บูรณาการกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ (Better Products and Services) มิติสังคม (Better Quality of Life) และมิติสิ่งแวดล้อม (Better Climate) โดยเคทีซีได้ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ สร้างความไว้วางใจให้เกิดแก่ผู้มีส่วนได้เสีย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแก่สังคมไทย บรรเทาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ ทั้งนี้ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.ktc.co.th/sustainability-development

12.

ประเด็นที่น่าสนใจในปัจจุบัน

➢ เป้าหมายและการเติบโตของบริษัท

เป้าหมายปี 2567 กลุ่มบริษัทตั้งเป้ามูลค่ากำไรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าอัตราเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 15% และยอดลูกหนี้ใหม่ของสินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงินมีมูลค่า 6,000 ล้านบาท แต่เนื่องด้วยปี 2567 นี้กลุ่มบริษัทมีการปรับกรอบระยะเวลาการตัดหนี้สูญให้เร็วขึ้น จึงทำให้กลุ่มบริษัทปรับเป้าหมายอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อรวมที่เคยตั้งไว้ที่ 10% เป็นขยายตัวประมาณ 6%-7% กำหนดพอร์ตลูกหนี้ KTC PROUD ที่มีอายุ 0-90 วัน ขยายตัวที่ 5% และปรับลด %NPL จากไม่เกิน 2.2% เป็นไม่เกิน 2.0%

ในไตรมาส 1 ปี 2567 เป้าหมายส่วนใหญ่ยังไม่เป็นไปตามที่ตั้งไว้ เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจมีความอ่อนตัวลงมากกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่ากลยุทธ์การสร้างฐานลูกค้าบัตรเครดิตในกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น การคัดกรองคุณภาพพอร์ตทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และการสื่อสารสร้างความตระหนักรู้ในสินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงินกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จะสามารถทำให้เคทีซีบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในที่สุด

➢ แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนของ ธปท. และ ผลกระทบ

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending: RL) ตามประกาศ ธปท.ที่ สกช. 7/2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างบทบาทผู้ให้บริการในการรับผิดชอบลูกค้าตลอดวงจรหนี้อย่างเหมาะสม และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

หลักเกณฑ์การบริหารจัดการด้านการให้สินเชื่อตลอดวงจรการเป็นหนี้ ครอบคลุม 8 ด้าน คือ (1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อ (2) การโฆษณา (3) กระบวนการขาย (4) การพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ (affordability) (5) การส่งเสริมวินัยและการบริหารจัดการทางการเงินในช่วงเป็นหนี้ (6) การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt: PD) (7) การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้ ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ลูกหนี้ที่ยังไม่ด้อยคุณภาพ (non-NPL) ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเชิงป้องกัน (Pre-emptive Debt Restructuring: Pre-emptive DR) และปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา (Troubled Debt Restructuring: TDR) (8) การดำเนินตามกฎหมายและโอนการขายหนี้ไปยังเจ้าหนี้รายอื่น

เคทีซี ได้มีมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาวเป็นไปตามประกาศของ ธปท. เช่น

การปรับเพิ่มอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 8% ซึ่งมีผลในรอบบัญชีตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมานั้น สำหรับในไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทสามารถจ่ายชำระขั้นต่ำที่ 8 % ได้ มีลูกหนี้เพียงส่วนน้อยที่ประสบปัญหา อย่างไรก็ตามบริษัทได้เสนอแนวทางต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่เหมาะสมและเป็นธรรม

นอกจากนี้บริษัทจะนำเสนอแนวทางให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ที่ยังไม่ด้อยคุณภาพ (non-NPL) ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเชิงป้องกัน (Pre-emptive DR) ตั้งแต่เริ่มมีสัญญาณว่าลูกหนี้กำลังจะประสบปัญหาในการชำระหนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ไม่กลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) และบริษัทจะเสนอแนวทางให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) อย่างน้อย 1 ครั้ง โดยเฉพาะก่อนการดำเนินการตามกฎหมาย โอนขายหนี้ บอกเลิกสัญญา หรือยึดทรัพย์ ซึ่งการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ดังกล่าว บริษัทจะพิจารณาให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้และไม่ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้เดิมเกินสมควร

ทั้งนี้ การดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามเกณฑ์ดังกล่าว เคทีซีพิจารณาแล้วเชื่อมั่นว่าไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมการดำเนินงานของบริษัท

นอกจากนี้ ในกรณีของการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt: PD) ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1เมษายน 2567 เป็นต้นไปนั้น บริษัทได้ประเมินผลกระทบแล้วว่า หากลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ทุกรายเข้าร่วมโครงการจะมีผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยลดลงประมาณ 18 ล้านบาทต่อเดือน

general
notion
business